Wednesday, May 13, 2009

ภาคผนวก

ภาคผนวก 1

ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ ๑

ราษฎรทั้งหลาย

เมื่อกษัตริย์องค์นี้ได้ครองราชย์สมบัติสืบต่อจากพระเชษฐานั้น ในชั้นต้นราษฎรบางคนได้หวังกันว่ากษัตริย์องค์ใหม่นี้จะปกครองราษฎรให้ร่มเย็น แต่การณ์ก็หาได้เป็นไปตามที่คิดหวังกันไม่ กษัตริย์คงทรงอำนาจอยู่เหนือกฎหมายเดิม ทรงแต่งตั้งญาติวงศ์และคนสอพลอไร้คุณความรู้ให้ดำรงตำแหน่งที่สำคัญๆ ไม่ทรงฟังเสียงราษฎร ปล่อยให้ข้าราชการใช้อำนาจหน้าที่ในทางทุจริต มีการรับสินบนในการก่อสร้างและการซื้อของใช้ในราชการ หากำไรในการเปลี่ยนเงิน ผลาญเงินของประเทศ ยกพวกเจ้าขึ้นให้สิทธิพิเศษมากกว่าราษฎร กดขี่ข่มเหงราษฎร ปกครองโดยขาดหลักวิชา ปล่อยให้บ้านเมืองเป็นไปตามยถากรรม ดังที่จะเห็นได้จากความตกต่ำในทางเศรษฐกิจและความฝืดเคืองในการทำมาหากินซึ่งพวกราษฎรได้รู้กันอยู่โดยทั่วไปแล้ว รัฐบาลของกษัตริย์เหนือกฎหมายมิสามารถแก้ไขให้ฟื้นขึ้นได้
การที่แก้ไขไม่ได้ก็เพราะรัฐบาลของกษัตริย์มิได้ปกครองประเทศเพื่อราษฎรตามที่รัฐบาลอื่นๆ ได้กระทำกัน รัฐบาลของกษัตริย์ได้ถือเอาราษฎรเป็นทาส (ซึ่งเรียกว่าไพร่บ้าง ข้าบ้าง) เป็นสัตว์เดียรัจฉาน ไม่นึกว่าเป็นมนุษย์ เหตุฉะนั้น แทนที่จะช่วยราษฎร กลับพากันทำนาบนหลังราษฎร จะเห็นได้ว่า ภาษีอากรที่ บีบคั้นเอาจากราษฎรนั้น กษัตริย์ได้หักเอาไว้ใช้ปีหนึ่งเป็นจำนวนหลายล้าน ส่วนราษฎรสิ กว่าจะหาได้แม้แต่เล็กน้อย เลือดตาแทบกระเด็น ถึงคราวเสียเงินราชการหรือภาษีใดๆ ถ้าไม่มีเงินรัฐบาลก็ยึดทรัพย์หรือใช้งานโยธา แต่พวกเจ้ากลับนอนกินกันเป็นสุข ไม่มีประเทศใดในโลกจะให้เงินเจ้ามากเช่นนี้ นอกจากพระเจ้าซาร์และพระเจ้าไกเซอร์เยอรมัน ซึ่งชนชาตินั้นก็ได้โค่นราชบัลลังก์ลงเสียแล้ว
รัฐบาลของกษัตริย์ได้ปกครองอย่างหลอกลวงไม่ซื่อตรงต่อราษฎร มีเป็นต้นว่าหลอกว่าจะบำรุงการทำมาหากินอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ครั้นคอยๆ ก็เหลวไป หาได้ทำจริงจังไม่ มิหนำซ้ำกล่าวหมิ่นประมาทราษฎรผู้มีบุญคุณเสียภาษีอากรให้พวกเจ้าได้กิน ว่าราษฎรยังมีเสียงทางการเมืองไม่ได้ เพราะราษฎรโง่ คำพูดของรัฐบาลเช่นนี้ใช้ไม่ได้ ถ้าราษฎรโง่ เจ้าก็โง่เพราะเป็นคนชาติเดียวกัน ที่ราษฎรรู้ไม่ถึงเจ้านั้นเป็นเพราะขาดการศึกษาที่พวกเจ้าปกปิดไว้ไม่ให้เรียนเต็มที่ เพราะเกรงว่าเมื่อราษฎรได้มีการศึกษา ก็จะรู้ความชั่วร้ายที่พวกเจ้าทำไว้ และคงจะไม่ยอมให้เจ้าทำนาบนหลังคนอีกต่อไป
ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า ประเทศเรานี้เป็นของราษฎร ไม่ใช่ของกษัตริย์ตามที่เขาหลอกลวง บรรพบุรุษของราษฎรเป็นผู้ช่วยกันกู้ให้ประเทศเป็นอิสรภาพพ้นมือจากข้าศึก พวกเจ้ามีแต่ชุบมือเปิบและกวาดทรัพย์สมบัติเข้าไว้ตั้งหลายร้อยล้าน เงินเหล่านี้เอามาจากไหน? ก็เอามาจากราษฎรเพราะวิธีทำนาบนหลังคนนั้นเอง บ้านเมืองกำลังอัตคัดฝืดเคือง ชาวนาและพ่อแม่ทหารต้องทิ้งนา เพราะทำนาไม่ได้ผล รัฐบาลไม่บำรุง รัฐบาลไล่คนงานออกอย่างเกลื่อนกลาด นักเรียนที่เรียนสำเร็จแล้วและทหารที่ปลดกองหนุนแล้วก็ไม่มีงานทำ จะต้อง อดอยากไปตามยถากรรม เหล่านี้เป็นผลของกษัตริย์เหนือกฎหมาย บีบคั้นข้าราชการชั้นผู้น้อย นายสิบ และเสมียน เมื่อให้ออกจากงานแล้วก็ไม่ให้เบี้ยบำนาญ ความจริงควรเอาเงินที่พวกเจ้ากวาดรวบรวมไว้มาจัดบำรุงบ้านเมืองให้คนมีงานทำ จึงจะสมควรที่สนองคุณราษฎรซึ่งได้เสียภาษีอากรให้พวกเจ้าได้ร่ำรวยมานาน แต่พวกเจ้าก็หาได้ทำอย่างใดไม่ คงสูบเลือดกันเรื่อยไป เงินเหลือเท่าไหร่ก็เอาไปฝากต่างประเทศ คอยเตรียมหนีเมื่อบ้านเมืองทรุดโทรม ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก การเหล่านี้ย่อมชั่วร้าย
เหตุฉะนั้น ราษฎร ข้าราชการ ทหาร และพลเรือน ที่รู้เท่าถึงการกระทำอันชั่วร้ายของรัฐบาลดังกล่าวแล้ว จึงรวมกำลังตั้งเป็นคณะราษฎรขึ้น และได้ยึดอำนาจของกษัตริย์ไว้ได้แล้ว คณะราษฎรเห็นว่าการที่จะแก้ความชั่วร้ายนี้ได้ก็โดยที่จะต้องจัดการปกครองโดยมีสภา จะได้ช่วยกันปรึกษาหารือหลายๆ ความคิดดีกว่าความคิดเดียว ส่วนผู้เป็นประมุขของประเทศนั้น คณะราษฎรไม่ประสงค์ทำการแย่งชิงราชสมบัติ ฉะนั้น จึงได้อัญเชิญให้กษัตริย์องค์นี้ดำรงตำแหน่งกษัตริย์ต่อไป แต่จะต้องอยู่ใต้กฎหมายธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน จะทำอะไรโดยลำพังไม่ได้ นอกจากด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร คณะราษฎรได้แจ้งความประสงค์นี้ให้กษัตริย์ทราบแล้ว เวลานี้ยังอยู่ในความรับตอบ ถ้ากษัตริย์ตอบปฏิเสธหรือไม่ตอบภายในกำหนดโดยเห็นแก่ส่วนตนว่าจะถูกลดอำนาจลงมาก็จะชื่อว่าทรยศต่อชาติ และก็เป็นการจำเป็นที่ประเทศจะต้องมีการปกครองแบบอย่างประชาธิปไตย กล่าวคือ ประมุขของประเทศจะเป็นบุคคลสามัญซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้เลือกตั้งขึ้น อยู่ในตำแหน่งตามกำหนดเวลา ตามวิธีนี้ราษฎรพึงหวังเถิดว่าราษฎรจะได้รับความบำรุงอย่างดีที่สุด ทุกๆ คนจะมีงานทำ เพราะประเทศของเราเป็นประเทศที่อุดมอยู่แล้วตามสภาพ เมื่อเราได้ยึดเงินที่พวกเจ้ารวบรวมไว้จากการทำนาบนหลังคนตั้งหลายร้อยล้านมาบำรุงประเทศขึ้นแล้ว ประเทศจะต้องเฟื่องฟูขึ้นเป็นแม่นมั่น การปกครองซึ่งคณะราษฎรจะพึงกระทำก็คือ จำต้องวางโครงการอาศัยหลักวิชา ไม่ทำไปเหมือนคนตาบอด เช่นรัฐบาลที่มีกษัตริย์เหนือกฎหมายทำมาแล้ว เป็นหลักใหญ่ๆ ที่คณะราษฎรวางไว้ มีอยู่ว่า
๑.จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่นเอกราชในทางการเมือง ในทางศาล ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง
๒.จะต้องรักษาความปลอดภัยภายในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก
๓.ต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก
๔.จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน (ไม่ใช่พวกเจ้ามีสิทธิยิ่งกว่าราษฎรเช่นที่เป็นอยู่ในเวลานี้)
๕.จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก ๔ ประการดังกล่าวข้างต้น
๖.จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร
ราษฎรทั้งหลายจงพร้อมใจกันช่วยคณะราษฎรให้ทำกิจอันจะคงอยู่ชั่วดินฟ้านี้ให้สำเร็จ คณะราษฎรขอให้ทุกคนที่มิได้ร่วมมือเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลกษัตริย์เหนือกฎหมายพึงตั้งตนอยู่ในความสงบและตั้งหน้าทำมาหากิน อย่าทำการใดๆ อันเป็นการขัดขวางต่อคณะราษฎร การที่ราษฎรช่วยคณะราษฎรนี้ เท่ากับราษฎรช่วยประเทศและช่วยตัวราษฎร บุตร หลาน เหลน ของตนเอง ประเทศจะมีความเป็นเอกราชอย่างพร้อมบริบูรณ์ ราษฎรจะได้รับความปลอดภัย ทุกคนจะต้องมีงานทำไม่ต้องอดตาย ทุกคนจะมีสิทธิเสมอกัน และมีเสรีภาพพ้นจากการเป็นไพร่ เป็นข้า เป็นทาสพวกเจ้า หมดสมัยที่เจ้าจะทำนาบนหลังราษฎร สิ่งที่ทุกคนพึงปรารถนาคือ ความสุขความเจริญอย่างประเสริฐซึ่งเรียกเป็นศัพท์ว่า “ศรีอาริยะ” นั้น ก็จะพึงบังเกิดขึ้นแก่ราษฎรถ้วนหน้า

คณะราษฎร
๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕












ภาคผนวก 2

พระราชดำรัส พระราชทานแก่ตุลาการศาลปกครองสูงสุดเข้าเฝ้าฯ
ถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้ารับหน้าที่ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์วันอังคารที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙

ที่ได้ปฏิญาณนั้นมีความสำคัญมาก เพราะว่ากว้างขวาง หน้าที่ของผู้พิพากษา หน้าที่ของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการปกครอง มีหน้าที่กว้างขวางมาก ซึ่งเกรงว่า ท่านอาจจะนึกว่า หน้าที่ของผู้ที่เป็นศาลปกครอง มีขอบข่ายที่ไม่กว้างขวาง ที่จริงกว้างขวางมาก ในเวลานี้อาจจะไม่ควรพูด แต่อย่างเมื่อเช้านี้เอง ได้ยินเขาพูดเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง และโดยเฉพาะเรื่องเลือกตั้งของ ผู้ที่ได้คะแนน ได้แต้มไม่ถึง ๒๐ เปอร์เซ็นต์

แล้วก็เขาเลือกตั้งอยู่คนเดียว ซึ่งมีความสำคัญ เพราะว่าถ้าไม่ถึง ๒๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วก็เขาคนเดียว ในที่สุดการเลือกตั้งไม่ครบสมบูรณ์ ไม่ทราบว่า เกี่ยวข้องกับท่านหรือเปล่า แต่ความจริงน่าจะเกี่ยวข้องเหมือนกัน เพราะว่าถ้าไม่มีจำนวนผู้ที่ได้รับเลือกตั้งพอ ก็กลายเป็นว่า การปกครองแบบประชาธิปไตย ดำเนินการไม่ได้

แล้วถ้าดำเนินการไม่ได้ ที่ท่านได้ปฏิญาณเมื่อตะกี้นี้ ก็เป็นหมัน ถึงบอกว่าจะต้องทำทุกอย่าง เพื่อให้การปกครองแบบประชาธิปไตย ต้องดำเนินการไปได้ ท่านก็เลยทำงานไม่ได้ และถ้าท่านทำงานไม่ได้ ก็มีทางหนึ่ง ท่านอาจจะต้องลาออก เพราะไม่ได้มีการแก้ไขปัญหา ไม่ได้แก้ปัญหาที่มีอยู่ ต้องหาทางแก้ไขได้ เขาอาจจะบอกว่า ต้องไปถามศาลรัฐธรรมนูญ แต่ศาลรัฐธรรมนูญก็บอก ไม่ใช่เรื่องของตัว ศาลรัฐธรรมนูญว่า เป็นการร่างรัฐธรรมนูญ ร่างเสร็จแล้วก็ไม่เกี่ยวข้อง

เลยขอร้องว่า ท่านอย่าไปทอดทิ้งความปกครองแบบประชาธิปไตย การปกครองแบบที่ จะทำให้บ้านเมืองดำเนินการผ่านออกไปได้ แล้วก็อีกข้อหนึ่ง การที่จะ ที่บอกว่า มีการยุบสภา และต้อง ต้องเลือกตั้งภายใน ๓๐ วัน ถูกต้องหรือไม่ ไม่พูดเลย ไม่พูดกันเลย ถ้าไม่ถูก ก็จะต้องแก้ไข แต่ก็อาจจะให้การเลือกตั้งนี้ เป็นโมฆะหรือเป็นอะไร ซึ่งท่านจะมี จะมีสิทธิ ที่จะบอกว่า อะไรที่ควร ที่ไม่ควร

ไม่ได้บอกว่ารัฐบาลไม่ดี แต่ว่าเท่าที่ฟังดู มันเป็นไปไม่ได้ คือการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย เลือกตั้งพรรคเดียว คนเดียว ไม่ใช่ทั่วไป ทั่วแต่ในแห่งหนึ่งมีคนที่สมัครเลือกตั้งคนเดียว มันเป็นไปไม่ได้ ไม่ ไม่ใช่เรื่องของประชาธิปไตย เมื่อไม่เป็นประชาธิปไตย ท่านก็พูดกันเองว่า ท่านต้องดูเกี่ยวข้องกับเรื่องของการปกครองให้ดี ตรงนี้ขอฝาก
อย่างดีที่สุดถ้าเกิดท่านจะทำได้ ท่านลาออก ท่านเอง ไม่ใช่รัฐบาลลาออก ท่านเองต้องลาออก ถ้าทำไม่ได้ รับหน้าที่ไม่ได้ ตะกี้ที่ปฏิญาณไป ดูดีๆ จะเป็นการไม่ได้ทำตามที่ปฏิญาณ ฉะนั้น ก็ตั้งแต่ฟังวิทยุเมื่อเช้านี้ กรณีเกิดที่นบพิตำ กรณีที่จังหวัด อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช อันนั้นไม่ใช่แห่งเดียว ที่อื่นมีอีกหลายแห่ง ที่จะทำให้บ้านเมืองล่มจม บ้านเมืองไม่สามารถที่จะ ที่จะรอดพ้นจากสถานการณ์ ที่ไม่ถูกต้อง

ฉะนั้น ก็ขอให้ท่านไปศึกษาว่า เกี่ยวข้องอย่างไร ท่านเกี่ยวข้องหรือไม่ แต่ถ้าท่านไม่เกี่ยวข้อง ท่านก็ลาออกดีกว่า ท่านผู้ที่เป็นผู้ที่ได้รับหน้าที่ ท่านเป็นผู้ที่มีความรู้ เป็นผู้ที่ต้องทำให้บ้านเมืองดำเนินได้ หรือมิฉะนั้น ก็ต้องไปปรึกษากับท่านผู้พิพากษาที่จะเข้ามาต่อมา ท่านผู้พิพากษาศาลฎีกา ท่านผู้นี้ก็คงเกี่ยวข้องเหมือนกัน ก็ปรึกษากันสี่คน

ก็ท่านปรึกษากับผู้พิพากษาศาลฎีกาที่จะเข้ามาใหม่ ปรึกษากับท่าน ก็เป็นจำนวนหลายคน ที่มีความรู้ ที่มีความซื่อสัตย์สุจริต ที่มีความและมีหน้าที่ ที่จะทำให้บ้านเมืองมีขื่อมีแป ฉะนั้นก็ขอฝาก คุณอักขราทร ก็ต้องไปพูดกับสมาชิกอื่นๆ ด้วย ก็จะขอบใจมาก เดี๋ยวนี้ยุ่ง เพราะถ้าไม่มีสภาผู้แทนราษฎร ก็ไม่ทางจะปกครองแบบประชาธิปไตย มีของ เรามีศาลหลายชนิดมากมาย แล้วมีสภาหลายแบบ และก็ทุกแบบนี่จะต้องเข้ากัน ปรองดองกัน และคิดทางที่จะแก้ไขได้
นี่พูดเรื่องนี้ ค่อนข้างจะประหลาดหน่อย ที่ขอร้องอย่างนี้ แล้วก็ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเขาก็บอกว่าต้องทำมาตรา ๗ มาตรา ๗ ของ ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งขอยืนยัน ยืนยันว่ามาตรา ๗ นั้นไม่ได้หมายถึง ให้มอบให้พระมหากษัตริย์มีอำนาจ ที่จะทำอะไรตามชอบใจ ไม่ใช่ มาตรา ๗ นั้น พูดถึงการปกครอง แบบมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไม่ได้บอกว่า ให้พระมหากษัตริย์ตัดสินใจ ทำได้ทุกอย่าง

ถ้าทำเขาจะต้องว่าพระมหากษัตริย์ ทำเกินหน้าที่ ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยเกิน ไม่เคยทำเกินหน้าที่ ถ้าทำเกินหน้าที่ ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย เขาอ้างถึงเมื่อครั้งก่อนนี้ เมื่อรัฐบาลของอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ตอนนั้นไม่ได้ทำเกินอำนาจพระมหากษัตริย์ ตอนนั้นมีสภา สภามีอยู่ ประธานสภา รองประธานสภามี่อยู่ แล้วก็รองประธานสภาทำหน้าที่ แล้วมีนายกฯ ที่สนองพระบรมราชโองการได้ ตามรัฐธรรมนูญในครั้งนั้น

ไม่ ไม่ได้หมายความว่า ที่ทำครั้งนั้นผิดรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ ตอนนั้นเขาไม่ใช่นายกฯ พระราชทาน นายกฯ พระราชทานหมายความว่า ตั้งนายกฯ โดยไม่มีกฎเกณฑ์อะไรเลย ตอนนั้นมีกฏเกณฑ์ เมื่อครั้งอาจารย์สัญญาได้รับตั้งเป็นนายกฯ เป็นนายกฯ ที่มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ คือรองประธานสภานิติบัญญัติ นายทวี แรงขำ ดังนั้น ไปทบทวนประวัติศาสตร์หน่อย ท่านก็เป็นผู้ใหญ่ ท่านก็ทราบว่า มี มีกฎเกณฑ์ที่รองรับ

แล้วก็งานอื่นๆ ก็มี แม้จะเรียกว่าสภาสนามม้า ก็หัวเราะกัน สภาสนามม้า แต่ไม่ผิด ไม่ผิดกฎหมาย เพราะว่านายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนอง นายกรัฐมนตรีคือ นายสัญญา ธรรมศักดิ์ ได้รับสนองพระบรมราชโองการ ก็สบายใจว่า ทำอะไรแบบถูกต้อง ตามครรลองของรัฐธรรมนูญ แต่ครั้งนี้ ก็เขาจะให้ทำอะไรผิด ผิดรัฐธรรมนูญ ใครเป็นคนบอกก็ไม่ทราบนะ แต่ว่าข้าพเจ้าเองรู้สึกว่าผิด ฉะนั้น ก็ขอให้ช่วยปฏิบัติอะไร คิดอะไร ไม่ให้ผิดกฎเกณฑ์รัฐธรรมนูญ จะทำให้บ้านเมืองผ่านพ้นสิ่งเป็นอุปสรรค และมีความเจริญรุ่งเรืองได้ ขอขอบใจท่าน





ภาคผนวก 3

พระราชดำรัส พระราชทานแก่ผู้พิพากษาประจำศาลสำนักงานศาลยุติธรรม เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้ารับหน้าที่ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์วันอังคารที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙
(ฉบับไม่เป็นทางการ โดยสำนักราชเลขาธิการ)

ถ้าจะปฏิบัติหน้าที่ผู้พิพากษาศาลฎีกา ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อความปลอดภัยของประชาชน เมื่อตะกี้พูดกับผู้พิพากษาศาลปกครอง ก็ต้องขอให้ เดี๋ยวไป ไปปรึกษากับท่าน เพราะว่าสำคัญที่ผู้พิพากษาทุกฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายที่เป็นผู้พิพากษาในศาลฎีกา เพราะประธานศาลฎีกาเป็นโดยเฉพาะ

ในปัจจุบันนี้มีปัญหาทางด้านกฎหมายที่สำคัญมาก คือว่าถ้าไม่ได้ปฏิบัติ จะปฏิบัติตามที่ท่านได้ปฏิญาณว่าจะทำให้ประเทศชาติปกครองได้โดยแบบประชาธิปไตย คือ เวลานี้มีการเลือกตั้ง เพื่อให้มีการปกครองแบบประชาธิปไตยนั่นเอง แต่ถ้าไม่มีสภาที่ครบถ้วน ก็ไม่ใช่การปกครองแบบประชาธิปไตย ฉะนั้น ก็ขอให้ไปปรึกษากัน ผู้ที่มีหน้าที่ในทางศาลปกครอง ในทางศาลอย่างที่มาเมื่อตะกี้ เพื่อที่จะเป็นครบ เป็นสิ่งที่ครบ

แต่ก่อนนี้มี มีอย่างเดียว มีศาลฎีกา ศาลอุทธรณ์ ศาลอาญา ศาลแพ่ง เดี๋ยวนี้มีศาลหลายอย่างอันนับไม่ถูก ก็เมื่อมีก็ต้องให้ไปดำเนินการด้วยดี ดังนั้น ก็ขอให้ไปปรึกษากับศาลอื่นๆ ด้วย จะทำให้บ้านเมืองปกครองแบบประชาธิปไตยได้ อย่าไปคอยที่จะให้ขอนายกฯ พระราชทาน เพราะขอนายกฯ พระราชทาน ไม่ได้เป็นการปกครองแบบประชาธิปไตย

ข้าพเจ้ามีความเดือดร้อนมาก ที่เอะอะอะไรก็ขอพระราชทานนายกฯ พระราชทาน ซึ่งไม่ใช่การปกครองแบบประชาธิปไตย ถ้าไปอ้างมาตรา ๗ ของรัฐธรรมนูญ เป็นการอ้างที่ผิด มันอ้างไม่ได้ มาตรา ๗ มี ๒ บรรทัดว่า อะไรที่ไม่มีในรัฐธรรมนูญ ก็ให้ปฏิบัติตามประเพณี หรือตามที่เคยทำมา ไม่มี เขาอยากจะได้นายกฯ พระราชทาน เป็นต้น จะขอนายกฯ พระราชทาน ไม่ใช่เป็นเรื่องการปกครองแบบประชาธิปไตย เป็นการปกครองแบบ ขอโทษ พูดแบบมั่ว แบบไม่ ไม่ ไม่มีเหตุมีผล สำคัญอยู่ที่ ท่านเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา มีสมองที่ ที่แจ่มใส สามารถ ควรจะสามารถที่จะไปคิดวิธีที่จะปฏิบัติ คือ ปกครองต้องมี ต้องมีสภา สภาที่ครบถ้วน ถ้าไม่ครบถ้วน เขาว่าไม่ได้ แต่ก็เขา แต่อาจจะหาวิธีที่จะ ที่จะตั้งสภาที่ไม่ครบถ้วน และทำงาน ทำงานได้

ก็รู้สึกว่ามั่วอย่างที่ว่า ต้องขอโทษอีกทีนะ ใช้คำว่ามั่ว ไม่ถูก ไม่ทราบใครจะทำมั่ว แต่ว่าปกครองประเทศมั่วไม่ได้ ที่จะคิดอะไรแบบ แบบว่าทำปัดๆ ไปให้เสร็จๆ ไป ถ้าไม่ได้ เขาก็โยนให้พระมหากษัตริย์ทำ ซึ่งยิ่งร้ายกว่าทำมั่วอย่างอื่น เพราะพระมหากษัตริย์ ไม่ ไม่มีหน้าที่ ที่จะไปมั่ว ก็เลยต้องขอร้องฝ่ายศาล ให้คิด ให้ช่วยกันคิด เดี๋ยวนี้ประชาชน ประชาชนทั่วไปเขาหวังในศาล โดยเฉพาะศาลฎีกา ศาลอื่นๆ

เขายังบอกว่าศาล ขึ้นชื่อว่าศาล ดี ยังมีความซื่อสัตย์ สุจริต มีเหตุมีผล และมีความรู้ เพราะท่านได้เรียนรู้กฎหมายมา และพิจารณาเรื่องกฎหมายที่จะต้องศึกษาดีๆ ประเทศชาติจึงจะรอดพ้นได้ ถ้าไม่ทำตามหลักกฎหมาย หลักของการปกครองที่ถูกต้อง ประเทศชาติไปไม่รอด อย่างที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ เพราะว่าไม่มี ไม่มีสมาชิกสภาถึง ๕๐๐ คน ทำงานไม่ได้

ก็ต้องพิจารณาดูว่า จะทำยังไง สำหรับให้ทำงานได้ จะมาขอให้พระมหากษัตริย์เป็นผู้ตัดสิน เขาอาจจะว่ารัฐธรรมนูญนี้ พระมหากษัตริย์ เป็นคนลงพระปรมาภิไธย จริง แต่ลงพระปรมาภิไธย ก็เดือดร้อน แต่ว่าในมาตรา ๗ นั้นไม่ได้บอกว่า พระมหากษัตริย์สั่งได้ ไม่มี ลองไปดูมาตรา ๗ เขาเขียนว่า ไม่มีการบทบัญญัติแบบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ เป็นประมุข ไม่ได้บอกว่า มีพระมหากษัตริย์ที่จะมาสั่งการได้

แล้วก็ขอยืนยันว่า ไม่เคยสั่งการอะไร ที่ไม่มีกฎเกณฑ์ของบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมาย พระราชบัญญัติต่างๆ ทำถูกต้องตามรัฐธรรมนูญทุกอย่าง อย่างที่เขาขอ บอกว่า ขอให้มี ให้พระราชทานนายกฯ พระราชทาน ไม่เคย ไม่เคยมีข้อนี้ มีนายกฯ แบบมีการรับสนองพระบรมราชโองการ อย่างที่ถูกต้องทุกครั้ง มีคนเขาก็อาจจะมา มาบอกว่า พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๙ เนี่ยทำตามใจชอบ ไม่เคยทำอะไรตามใจชอบ

ตั้งแต่เป็นมา มีรัฐธรรมนูญหลายฉบับ แล้วก็ทำมาหลายสิบปี ไม่เคยทำอะไรตามใจชอบ ถ้าทำไปตามใจชอบ ก็เข้าใจว่า บ้านเมืองล่มจมมานานแล้ว แต่ตอนนี้เขาขอให้ทำตามใจชอบ แล้วเวลาถ้าเขา ถ้าทำตามที่เขาขอ เขาก็ต้อง ต้องด่าว่านินทาพระมหากษัตริย์ ว่าทำตามใจชอบ ซึ่งไม่ใช่กลัว ถ้าต้องทำก็ต้องทำ แต่ว่ามันไม่ต้องทำ

ต้องวันนี้น่ะอยู่ที่ผู้พิพากษาศาลฎีกา (เป็น) เป็นสำคัญ ที่จะบอกได้ ศาลอื่นๆ ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลอะไร ไม่มีข้อที่จะอ้างได้มากกว่าศาลฎีกา เพราะว่าผู้พิพากษาศาลฎีกา ที่จะมีสิทธิที่จะพูด ที่จะตัดสิน ฉะนั้น ก็ขอให้ท่านได้พิจารณาดู กลับไปพิจารณา ไปปรึกษากับผู้พิพากษาศาลอะไรอื่นๆ ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ว่าควรจะทำอะไร แล้วต้องรีบทำ ไม่งั้นบ้านเมืองล่มจม พอดีตะกี้ดู ดูทีวี เรือหลายหมื่นตันโดนพายุ จมลงไปสี่พันเมตรในทะเล เขายังต้องดูว่าเรือนั้นลงไปอย่างไร

เมืองไทยจะจมลงไปลึกกว่าสี่พันเมตร แล้วก็กู้ไม่ได้ กู้ไม่ขึ้น ฉะนั้น ท่านเองก็จะเท่ากับจมลงไป ประชาชนทั่วไป ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ก็จะ จะจมลงไปในมหาสมุทร เดี๋ยวนี้เป็นเวลาที่วิกฤตที่สุด ที่สุดในโลก ฉะนั้นท่านก็มีหน้าที่ ที่จะปฏิบัติ ปรึกษากับผู้ที่มีความรู้ เพื่อที่จะ เขาเรียกว่า กู้ชาตินั้นแหละ เอะอะอะไรก็กู้ชาติ กู้ชาติ กู้ชาตินั่นน่ะ เดี๋ยวนี้ยังไม่ได้จม ทำไมคิดถึงจะที่ไปกู้ชาติ แต่ว่าป้องกันไม่ให้จมลงไป แล้วเราจะต้องกู้ชาติจริงๆ แต่ถ้าจมแล้ว กู้ชาติไม่ได้ จมไปแล้ว

ฉะนั้นต้องไปพิจารณาดูดีๆ ว่าควรจะทำอะไร ถ้าทำได้ ปรึกษาหารือกันได้จริงๆ ประชาชนทั้งประเทศ และประชาชนทั่วโลก จะอนุโมทนา อาจจะเห็นว่าผู้พิพากษาศาลฎีกาในเมืองไทยยังมี เรียกว่ายังมีน้ำยา และเป็นคนที่มีความรู้ และตั้งใจที่จะ ที่จะกู้ชาติจริงๆ ถ้าถึงเวลา

ก็ขอขอบใจท่าน ที่ตั้งอกตั้งใจที่จะทำหน้าที่ แล้วก็ทำหน้าที่ดีๆ อย่างนี้ บ้านเมืองก็รอดพ้น ไม่ต้องกลัว ขอขอบใจที่ท่านพยายามปฏิบัติโดยดี แล้วประชาชนจะอนุโมทนา ขอบใจแทนประชาชนทั่วทั้งประเทศ ที่มีผู้พิพากษาศาลฎีกา ที่เข้มแข็ง ขอบใจ ขอให้ท่านสามารถที่จะปฏิบัติงานด้วยดี มีพลานามัยแข็งแรง ต่อสู้ ต่อสู้นะ ต่อสู้เพื่อความดี ต่อสู้เพื่อความยุติธรรมในประเทศ ขอขอบใจ



ภาคผนวก 4



วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11340

"แม้ว"เลือดเข้าตาซัด"สุรยุทธ์" ถล่ม"ป๋า"ยับ ยื่นยุบสภาแลกไม่ลงเลือกตั้งเปิดทาง"111"-แก้รธน.อิงปี"40 ยกเลิกฟ้องทั้งหมดนับหนึ่งใหม่

"ทักษิณ"บอมบ์รายตัว ซัด"เปรม "ผู้มีบารมีนอก รธน. กล่าวหาแทรกแซงการเมือง แอบสั่งการ ทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าสถาบันเกี่ยว ข้อง หนำซ้ำยังทำให้เกิดระบบความไม่เป็นธรรมขึ้น ฉะ"สุรยุทธ์"หนุนพันธมิตร ทำ ปท.ล่มจม จี้องคมนตรีหยุดเล่นการเมือง ให้ยุบสภาเพื่อเป็นทางออก แลกกับการไม่ลงเลือกตั้ง "อภิสิทธิ์"ชี้ม็อบเสื้อแดงชุมนุม ไม่มี อะไรน่าห่วง


"แม้ว"วิดีโอลิงก์ปลุกคนเสื้อแดง
เมื่อเวลา 20.30 น. วันที่ 27 มีนาคม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พูดผ่านวิดีโอลิงก์มายังเวทีการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงที่ข้างทำเนียบรัฐบาลว่า วันนี้โทรม เพราะคืนเดียวอยู่ 3 ประเทศ แต่ก็ได้ผลดี ในเรื่องความสัมพันธ์ต่อประเทศไทย ผมเข้าใจว่าเหนื่อย ร้อน ก็บางคนอาจจะหิว แต่ท่านก็ยังอดทนรอฟังผมพูด ต้องขอขอบคุณพี่น้องชาวเสื้อแดงที่ได้มารวมตัวกันตั้งแต่เมื่อวันที่ 26 มีนาคม เมื่อวานตั้งใจจะพูดแต่ลำบากเรื่องการเดินทางเลยพูดสั้นๆ วันนี้ตั้งใจจะพูดจาหาทางออกของปัญหาความขัดแย้งที่เป็นอยู่จะออกอย่างไร จะเป็นการเสนอฝ่ายของผม แต่คนอื่นจะเอาหรือไม่ก็ไม่ทราบต้องขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ช่วย เป็นครั้งประวัติศาสตร์ที่ทุกคนชุมนุมกันแล้วเสียสละเงินคนละเล็กน้อยมาร่วมชุมนุมกันที่นี่ อาจจะมีเสื้อแดงปลอมที่ไปสร้างสถานการณ์ทำท่าจะไปบุกสนามบิน นั่นเป็นของปลอมเพราะของจริงอยู่ที่ทำเนียบ
วัตถุประสงค์ที่มารวมกันที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อเรียกประชาธิปไตย ความเป็นธรรมของสังคมไทยกลับมาได้อย่างไร เพื่ออนาคตของประเทศ เพื่อลูกหลานไทย เรากำลังมาตกลงกันว่าระบอบปกครอง ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงคือสิ่งที่เรารักและหวงแหน อยากได้ไว้คู่สังคมไทย อยากเห็นสังคมไทยที่มีความยุติธรรม หากไม่มีความยุติธรรมเราก็จะเจอปัญหาสิทธิสภาพนอกอาณาเขตเหมือนที่เจอ ที่นักลงทุนต่างประเทศกลัวว่ามาลงทุนในประเทศไทยแล้วไม่ได้รับความเป็นธรรม ต้องไปขอขึ้นศาลที่ฮ่องกง หรือที่สิงคโปร์ เราอย่าให้เกิด เราอยากเห็นอนาคตของประเทศที่มีอนาคต ส.ส.ได้รับเชิญไปญี่ปุ่น ไปคุยกับนักลงทุน เขาบอกว่าไม่เคยเห็นเกิดขึ้นมาก่อนเลยบอกว่าไม่อยากจะมาลงทุนเพิ่มในประเทศไทยเด็ดขาด เครื่องบินของญี่ปุ่นเดิมอเมริกาไม่ให้ผลิต แต่ตอนนี้เริ่มผลิตแล้วโดยไปตั้งโรงงานผลิตเครื่องยนต์ที่เวียดนาม เพราะที่เวียดนามมีเด็กจบคณิตศาสตร์ใหม่ๆ เยอะ เขาไม่มาเมืองไทย นี่คือตัวอย่างของการสูญเสียโอกาส เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราวันนี้ จึงอยากบอกกับผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ผู้ใหญ่ในที่นี้คือคนที่มีอายุมากๆ ว่าถึงเวลาหรือยังที่จะมองอนาคตให้ลูกหลาน ไม่ใช่การเอาชนะคะคานกัน
เท้าความซัดผู้มีบารมี นอก รธน.
"เราต้องเรียนรู้จากบทเรียนที่เจ็บช้ำมานานจากการปฏิวัติ จากเผด็จการที่เข้ามาทำให้ประชาธิปไตยไม่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง มันเกิดครั้งแล้วครั้งเล่าจนไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะจบ ก่อนนี้คิดว่าจะไม่มีแล้วแต่ก็เกิดขึ้นจนได้ เพราะเราไม่ยอมพูดความจริง มีการตั้งคณะกรรมการสอบความจริงครึ่งเดียว ในที่สุดเราก็ไม่รู้ความจริงเหมือนเสียค่าเรียนแล้วไม่เคยได้รับประกาศนียบัตร เรียนแล้วไม่จบสักที นี่คือสิ่งที่เราเรียนรู้ประชาธิปไตยของเราที่ไม่เคยเรียนจบ ล้มแล้วพูดว่าล้มเพราะอะไร ไม่เคยพูดกันชัดเจนแล้วเราก็ลืมไป แต่วันนี้ถึงเวลามาพูด เราต้องเรียนรู้จากบทเรียนที่ผ่านมา จะมัวเกรงใจกันคงไม่ได้ เพราะเกรงใจก็ไม่รู้ความจริง และประชาชนก็ไม่มีโอกาสรู้ วันนี้สิ่งที่จะพูดต่อจากนี้ไม่ใช่เพื่อผม แต่เพื่อลูกหลานว่าลูกหลานในอนาคตจะอยู่อย่างไร ความสามารถในการพัฒนาตัวเองจะมีแค่ไหนหากเรามีปัญหากันอยู่อย่างนี้ ดังนั้น ขอเท้าความว่าอะไรคือผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญเป็นอย่างไร"
ที่มาของความวุ่นวาย คงจำได้ว่าปลายปี 2547 ก่อนเลือกตั้ง 2548 มีการรวมตัวกันเล็กๆ ที่สนามหลวง มีพวกสหภาพแรงงาน ร่วมกับนายเอกยุทธ และคุณประชัย คือพวกที่ไม่พอใจผมหรืออาจจะมีความสูญเสีย แต่ไม่มีอะไรเกิด แต่ต่อมาหลังเลือกตั้ง 2548 พรรคไทยรักไทยได้ ส.ส. 377 เสียง ก็รู้สึกว่าไทยรักไทยแข็งแรงเกินไป ฝ่ายค้านอ่อนแอเกินไป เริ่มพูดจากัน แต่พอปลาย 2548 เกิดกระบวนการรวมตัวของพันธมิตร โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นหัวหน้าทีม เริ่มต้นที่สวนลุมพินี โดยความเอื้อเฟื้อของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯกทม.ตอนนั้นให้สถานที่ให้ตลอดทุกสัปดาห์ พรรคประชาธิปัตย์อาจจะช่วยทางอ้อมหรือตรงก็ไม่ทราบ แต่ก็ไปอยู่ที่ข้างเวทีและขึ้นเวทีบ้าง นั่นคือสิ่งเริ่มต้นของการต่อสู้นอกระบบ แค่นั้นไม่เป็นไร แต่มีองคมนตรีบางท่านได้ไปบอกกับสื่อ และไปแอบอ้างว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่เอาผมแล้ว ผมพูดกับสื่อก็ยอมรับ แต่เป็นองคมนตรีบางคนเท่านั้น หลังจากนั้นก็เกิดม็อบมีเส้น เอเอสทีวีได้รับความคุ้มครองจากศาลปกครอง
เปิดตัวคือ"พล.อ.เปรม"
คุ้มครองจนปฏิวัติแล้วก็ไม่เลิก คุ้มครองให้ออกอากาศล้มล้างรัฐบาล รัฐบาลก็ทำอะไรไม่ได้ จนผมต้องพูดความจริง ก็ไม่กล้าพูดเต็มที่เพราะเกรงใจกันอยู่ วันนั้น ผมประชุมข้าราชการที่ตึกสันติไมตรี ผมบอกให้ทุกคนทำหน้าที่เต็มที่เพราะรู้ว่าข้าราชการเริ่มเกียร์ว่าง เพราะเริ่มถูกผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญแทรกแซง ผมก็ต้องกระตุ้นให้ทำงาน ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญแปลว่าในรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดให้เขามีโครงสร้าง มีอำนาจในการจัดการ แต่มีบารมีสามารถแอบสั่งงานได้ แล้วข้าราชการเกรงใจก็ยอมเลี่ยง ยอมผิดคำสั่งผู้บังคับบัญชา นั่นคือผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ คำว่าผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญเป็นคำที่ฮือฮามาก และนายสนธิ ลิ้มทองกุล ก็ไปกล่าวหาว่าผมหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผมมิบังอาจ ผมมีความจงรักภักดี ผมไม่บังอาจเอื้อมพูดถึงขนาดนั้น
แต่จริงๆ แล้วผมหมายถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ แต่ผมไม่กล้าพูดวันนั้น แล้วก็มีคนของ พล.อ.เปรม โทร.มาให้ผมช่วยพูดให้ชัดว่าไม่ใช่ พล.อ.เปรม ผมก็ไม่พูด เพราะหลังจากนั้นท่านเดินสาย ใส่เครื่องแบบทหาร ทั้งทัพบก ทัพเรือ ทัพอากาศ และออกเดินสายด่าผม มี พล.อ.สุรยุทธ์มักจะไปด้วยบ่อยๆ นั่นคือคู่หู ไปด้วยกัน
องคมนตรียุ่งการเมืองไม่เหมาะ
ผมขออัญเชิญพระราชกระแสพระราชดำรัสที่พระราชทานแก่องคมนตรี ในโอกาสเสด็จฯไปทรงเปิดทำเนียบองคมนตรี ณ อุทธยานสราญรมย์ 2547 ว่า องคมนตรีเป็นที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่ให้คำปรึกษาคนอื่น นี่เป็นสิ่งที่คนสงสัยว่าองคมนตรีมีอำนาจหน้าที่อะไร แต่องคมนตรีไม่ได้เป็นที่ปรึกษาของคนอื่น เป็นที่ปรึกษาของฝ่ายพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่ว่าจะไปแนะนำคนอื่น ถ้าไปแนะนำคนอื่นเป็นการแนะนำส่วนตัว ไม่ใช่ในฐานะองคมนตรี ฉะนั้นขอให้ระมัดระวังในคำพูด นั่นคือว่าต้องเข้าใจว่าในบทบาทไหนเป็นองคมนตรี บทบาทไหนเป็นเรื่องส่วนตัว
วันนี้สิ่งสำคัญการที่องคมนตรีเข้ามาเกี่ยวข้องในการเมืองเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงกี่ยวข้องการเมืองได้อย่างไร พระเจ้าอยู่หัวท่านสถิตอยู่ที่สูง ท่านเป็นที่รักของพสกนิกร แต่คนอยู่รอบพระองค์ท่านเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองทำให้พระองค์ท่านทรงเสีย ดังนั้น ขอให้ทุกคนที่อยู่รอบพระองค์ท่านอย่าเข้ามายุ่งการเมือง เพราะว่าพระองค์ท่านสถิตที่สูง ผมขอย้ำว่าสิ่งที่ พล.อ.เปรมเข้ามาเกี่ยวข้องการเมืองนั้น อย่าเพิ่งเถียง สิ่งที่ พล.อ.สุรยุทธ์เข้ามายุ่งกับการเมือง ทำให้สถาบันเสียหาย ฉะนั้นไม่ควร เพราะเมื่อไหร่ท่านมายุ่งกับการเมือง การเมืองก็จะยุ่งกับท่าน ดังนั้น องค์กรทุกองค์กรห้ามเข้ามายุ่ง ผมกำลังพูดเพื่อบอกว่าเรากำลังมาหาทางออกกัน
ยกไม่จงรักภักดีเหตุผลโค่น
ถ้าจำได้ อาจจะเคยจำว่าการเมืองสมัย พล.อ.เปรมเป็นอย่างไร ท่านเคยเป็นนายก รัฐมนตรี 8 ปี แต่การเป็นนายกฯของท่านนั้น ท่านไม่เคยลงเลือกตั้ง รัฐธรรมนูญไม่ได้บังคับให้เป็น ส.ส. ท่านได้รับการสนับสนุนจากพรรคประชาธิปัตย์ แม้ในปี 2539 ท่านเป็นนายกฯรอบล่าสุด นายพิชัย รัตตกุล เป็นหัวหน้าพรรค ได้ ส.ส.100 คนก็ไม่ได้เป็นนายกฯ ก็ยกมือให้ท่านเปรมเป็นนายกฯ การที่ พล.อ.เปรมอาจจะมีความใกล้ชิดกับพรรคประชาธิปัตย์ เลยเป็นห่วงเป็นใยกับพรรคประชาธิปัตย์เป็นพิเศษ พรรคไทยรักไทยชนะเลือกตั้ง 2 ครั้ง พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีโอกาสสู้เลยก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร
ผมเป็นห่วง ไม่อยากให้ท่านมายุ่งการเมืองเลย ท่านบอกว่าไม่ยุ่งการเมืองไม่ได้หรอก เพราะท่านยุ่งจริงๆ ตอนที่ พล.อ.สุรยุทธ์ไปประชุมที่มี พล.อ.พัลลภไปด้วย แต่ที่บอกว่า พล.อ.สุรยุทธ์ไม่เชิญ แต่คุณปีย์ มาลากุล เชิญบอกมี 3 ท่านที่ไปเข้าเฝ้าฯ 901 ก็มี พล.อ.เปรม พล.อ.สุรยุทธ์ และมีองคมมนตรีอีกคนหนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า แต่เป็นคำบอกเล่าของ พล.อ.สุรยุทธ์ว่าได้ไปเฝ้าฯ 901 จะขอทำงานเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีความจงรักภักดี และทุกคนที่ทำงานนี้จะไม่หวังตำแหน่งทั้งสิ้น นี่คือผมได้รับการบอกเล่ามา แต่ผมไม่เชื่อว่า 901 คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงรับรู้ เพราะพระเจ้าอยู่หัวสถิตอยู่ที่สูง ไม่ทรงยุ่งเกี่ยวการเมืองเลย แต่เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้น ก็ตามมาว่ามีใครบ้างมาร่วมประชุมบ้าง ก็มีอยู่ 3 คนคือ พล.อ.เปรม พล.อ. สุรยุทธ์ และคุณปีย์
ที่ประชุม ต่อมามีอีก 4 คนนายปราโมทย์ นาครทรรพ ผู้แต่งนิยายเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ ก็ได้ยินข่าวว่าศาลลงโทษ พร้อมบรรณาธิการผู้จัดการให้จำคุกคนละ 1 ปี ปรับ 1 แสน โทษจำคุกให้รอลงอาญา นี่คือสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นในสังคมไทย เลยเกิดปัญหาขึ้น มี ดร.อักขราทร จุฬารัตน นายจรัญ ภักดี ธนากุล นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ก็ไปร่วมประชุมด้วย นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้มีการเดินหน้าจัดการผมอย่างชัดเจน และทำให้กระบวนการทั้งหมดผิดเพี้ยนหมด เพราะพระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงทราบ แต่มีการแอบอ้างกัน ทำให้กระบวนการทำงานทั้งหมดบิดเบี้ยวผิดเพี้ยนหมด
จี้"เปรม"หยุดยุ่งการเมือง
แล้วถามว่า พล.อ.เปรมตอนปฏิวัติ พานายบังเข้าทำไม ทำไมประธานองคมนตรีต้องไปเข้าเฝ้าฯด้วย เหมือนเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ ตอน พล.อ.สุรยุทธ์เป็นนายกฯก็บอกเหมือนนายกฯวินสตัน เชอร์ชิล ที่เป็นนนายกฯคนดีของอังกฤษคนหนึ่ง ที่ผมได้ข่าวก็ไปดูอนุสาวรีย์เชอร์ชิลว่ายังอยู่ที่ลอนดอนหรือย้ายไปอยู่เขายายเที่ยงแล้ว แต่พอนายอภิสิทธิ์ ก็บอกว่าประเทศไทยโชคดีที่ได้คุณอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ท่านเป็นประธานองคมนตรีท่านไปเผลอไผลอย่างนี้ไม่ได้ วันที่ 26 มีนาคม ท่านก็บอกว่าป๋าเชียร์อภิสิทธิ์ ท่านยังเป็นประธานองคมนตรีอยู่นะ
ที่ผมพูดเพราะผมรักเคารพ ผมเคยกราบป๋า ป๋าเป็นผู้ใหญ่ เราเป็นนายกฯรุ่นเด็กเราก็ให้ความเคารพนับถือ แต่ป๋าลงมาเล่นการเมืองในฐานะประธานองคมนตรี ผมไม่อยากเห็น ป๋าอย่าทำเลย การที่ป๋าลงมาเล่น แล้วสั่งโน่นนี่ ในฐานะเป็นผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญมันเป็นสิ่งที่ทำให้กระบวนการของประเทศเสียหายหมด ระบบสองมาตรฐาน ความไม่เป็นธรรมในสังคมเกิดขึ้น ป๋าต้องอย่าทำ ป๋าอาจจะไม่มีลูกหลาน แต่เรามีลูกหลาน เขาเหล่านั้นกำลังเติบโต ต้องมีอนาคต เขาต้องอยู่ในประเทศที่มีระบบคิดถูกต้อง เป็นระบบที่เป็นประชาธิปไตย ให้ความเป็นธรรมกับสังคม ไม่ใช่เป็นระบบที่ป๋ากดตรงนั้นที ตรงนี้ที กราบเรียนด้วยความเคารพป๋าจริงๆ
ถล่มอดีตรองนายกฯเพี้ยน
ส่วนท่านสุรยุทธ์ ท่านก็แอคทีฟมากลงไปลุยสื่อ และขยันหลายเรื่อง เรื่องนี้ต้องถามจ่ายักษ์ และท่านสนธิ ว่าท่านสุรยุทธ์คิดอะไร จ่ายักษ์ ตอนที่ผมโดนคาร์บอมบ์ได้ให้การว่าถ้าฆ่าไม่ตายก็ปฏิวัติ ถ้าปฏิวัติเสร็จนายกฯชื่อสุรยุทธ์ ปรากฏว่าเมื่อสนธิ ลิ้มทองกุล ไปพูดที่เวอร์จิเนีย กำลังไล่ผม สุรยุทธ์ก็โทร.มาให้กำลังใจบอกว่าจะให้ทีวีช่องหนึ่ง เพราะเขารู้ว่าสนธิโกรธผมที่ไม่ให้ทีวี เป็นเรื่องที่ดูเหมือนอีเดียต แต่เอาประเทศทั้งประเทศจมเลย
ตอนที่ผมเป็นนายกฯ ผมก็มีรองนายกฯคนหนึ่ง ผมก็มองเพี้ยนๆ ตอนหลังมาผมไปรู้ว่ามันไปเชิญเพื่อนผมที่เป็นนักธุรกิจมาเป็นรัฐมนตรี ปรากฏว่า พล.อ.สุรยุทธ์เรียกไปจะให้เป็นนายกฯมาตรา 7 ไอ้นี้ก็ฟิต ไปชวนนักธุรกิจมาเป็นรัฐมนตรี ผมก็ตกใจว่ารองนายกฯผมคนนี้ทำไมเพี้ยนๆ
เรื่อง กกต.ก็เช่นกัน ไปเรียก พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ พล.ต.จำลอง ศรีเมืองด้วย บอกว่าให้ออกได้แล้ว ถ้าไม่ออกก็ติดคุก พล.อ.จารุภัทรก็กลัว ลังเล ก่อนลาออกผมบุกไปทำเนียบองคมนตรี พบ พล.อ.สุรยุทธ์ผมบอกว่าพี่ ทำไมมันเป็นอย่างนี้ บอกพี่ไม่รู้เรื่อง พี่กำลังตีกอล์ฟสนุก นี่พี่เป็นพลร่มนะ ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน ผมก็บอกว่าผมเป็นพลร่มเหมือนกัน ผมไปพูดอย่างนี้ ท่านก็น่ารักเดินมาส่งที่รถ ฟังแล้วมันเรื่องอะไรวะ ในที่สุด กกต.ก็ถูกตัดสินจำคุก
เบื้องหลังเด้ง"สุรยุทธ์"
ผมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะในเมื่อลงมาเล่นการเมือง ถ้าเมื่อไหร่มีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นเขาก็ต้องฟังองคมนตรี สิ่งที่องคมนตรีเป็นพระราชประสงค์ ผมถวายงานมา 6 ปี ผมขอยืนยันว่าเจ้านายทั้งสองพระองค์ไม่ยุ่งการเมือง ดังนั้น เป็นเรื่องที่องคมมนตรีบางคนที่ไปทำ ท่านสองคนนี้แอ๊คทีฟการเมืองมาก ท่านก็ต้องทำใจว่า เมื่อท่านมาเล่นการเมือง ท่านต้องโดนการเมืองเล่น
พล.อ.สุรยุทธ์นี้ ท่านอาจจะไม่พอใจผมที่ผมย้ายท่าน ผมโทร.หาท่านปลุกท่านประมาณตี 1 วันนั้น ผมไปส่งลูกไปอังกฤษ ก่อนเครื่องบินกำลังจะออก ผมโทร.หาเลยว่า ท่าน ผบ.ทำไมเคลื่อนย้ายกำลังทหาร ท่านก็บอกว่าไม่มีครับ เป็นการเคลื่อนย้ายกำลังธรรมดา เสร็จแล้วไม่นานก็ไปยิงพม่าตายไป 300 กว่าคน ผมก็เลยไม่รู้จะพูดอย่างไร การเคลื่อนย้ายกำลังเกิน 1 กองพล ต้องขออนุมัติจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถามพี่จิ๋ว ก็ไม่ได้อนุมัติ แต่มาสักพัก จากนั้นก็ทำเรื่องของบประมาณเพราะนำน้ำมันสำรองของกองทัพไปใช้ ขอ 300 กว่าล้านบาท พี่จิ๋วมาอ้อนวอน ก็ต้องให้ และในที่สุดผมก็ต้องย้ายท่านขึ้นเป็น ผบ.สส. ผมเป็นคนทำงานหน้าที่เป็นหน้าที่ไม่มีอะไรเป็นส่วนตัว จบเป็นจบ แล้วก็แล้วไป ผมเป็นคนอย่างนี้
อ้างชื่อ"บัง"โยงลอบสังหาร
ที่นี้เมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ก็ไม่รู้ทำไม ถ้าท่านจะยุ่งการเมืองท่านมาเล่นการเมืองไม่มีปัญหาเลย ผลพวงแห่งการแทรกแซงการประชุมที่บ้านคุณปีย์ ถนนสุขุมวิท เกิดกระบวนการหลายอย่าง ผมก็ถูกลอบสังหาร อันนี้ก็คนคงไม่กล้าพูด เนื่องจากเป็นคดีอาญา ผมถูกลอบสังหารด้วยปืน สไนเปอร์ 2 ครั้ง แต่โชคดีผมเปลี่ยนทิศจากเชียงใหม่ไปลำปาง และที่สนามหลวง เขาไปใช้ตึกคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่ผมเลื่อนเวลาปราศรัยเร็วขึ้น จึงรอด ครั้งที่ 3 คือคาร์บอมบ์ ไปดักสนามบิน 2 ครั้ง และมาดักที่ ถนนจรัญสนิทวงศ์ ซึ่งมีการจับกุมได้ เท่าที่ผมถามมาคนที่อยู่เบื้องหลัง และไปตามเรื่องบ่อยๆ ชื่อนายบัง นี่เป็นกระบวนการถึงเป็นที่วุ่นวายทุกวันนี้
ปูดเสื้อเหลืองชอบอ้างเจ้านาย
จำได้ไหมวันที่ผมยุบสภา พรรคประชาธิปัตย์ร่วมกับฝ่ายค้านบอยคอตการเลือกตั้ง คุณตั้งพรรคการเมืองมาบอยคอตการเลือกตั้งได้อย่างไร เกิดการฟ้องกันไปมา ในที่สุดก็ยุบพรรคไทยรักไทย พรรคประชาธิปัตย์ทำผิดไม่ยุบ ตุลาการรัฐธรรมนูญตั้งตอนไหน ก็ตั้งตอนปฏิวัติ และพรรคประชาธิปัตย์ก็เห็นดีเห็นงามด้วย ที่พูดวันนี้เพื่อจะให้จบ และหาทางออกว่าวันนี้ต้องพูดความจริง ต้องเรียนรู้ แล้วหลังจากนี้ก็จะมาดูว่าจะหาทางออกร่วมกันอย่างไร
ผมอยากเรียนว่าการที่มีการเลือกที่รักมักที่ชัง มีการสนับสนุนกลุ่มนั้น แอนตี้กลุ่มนี้ จึงทำให้ประเทศไทยเกิดระบบที่ไม่เป็นธรรม สองมาตรฐานเต็มไปหมด ลองคิดดูว่านายกฯคนหนึ่งเซ็นยินยอมให้ภรรยาไปทำนิติกรรม ไปประกวดราคาซื้อที่ดินอย่างถูกต้อง ที่ดินนี้เป็นหนี้เน่าที่กองทุนฟื้นฟูขายอยู่เรื่อยๆ ศาลบอก ว่าการซื้อชอบ คนซื้อก็ชอบ คนขายชอบ แต่ผมเป็นนายกฯเซ็นให้ภรรยาไปทำนิติกรรม และจ่ายเงินซื้อที่ไปเกือบ 800 ล้านบาท ติดคุก 2 ปี แต่ พล.อ.สุรยุทธ์มีบ้านบนเขายายเที่ยงเป็นป่าสงวนฯ บนยอดเขาเลย แต่ คตส.บอกว่าไม่มีอำนาจ ใครก็ไปทำอะไรไม่ได้ อันนี้ฟรี แต่นี่เสียตังค์เกือบ 800 ล้านบาท ถูกต้องหมด แต่เขายายเที่ยง เขาลูกเดียวกันนี้ร้านอาหารตาพรอยู่ตีนเขา ศาลชั้นต้นที่สีคิ้วสั่งจำคุก 2 ปี และศาลอุทธรณ์ก็ยืน วันนี้ตำรวจบอกผมมาว่าตำรวจทำสำนวนไม่ได้เลยในคดีผู้ต้องหาบุกรุกป่าตามพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ เพราะจับมาแล้วมันอ้างว่าบ้านเขายายเที่ยงบนยอดทำไมยังอยู่ได้ เขายายเที่ยงยังไม่ผิดเลย เสียหายไหม ระบบความยุติธรรมไม่มี ตำรวจบอกไม่รู้จะทำคดีอย่างไร
สองมาตรฐานมีเยอะเหลือเกิน วิธีปฏิบัติต่อเสื้อเหลืองเสื้อแดงก็เห็นเยอะ สีเหลืองเหรอทำอะไรก็ได้หมด ตั้งข้อหาแล้วก็ถอนข้อหา ถูกจับก็ได้ประกันตัว แถมยังบอกว่าด้วย 02 สั่ง ทำให้เจ้านายเสียหาย ผมไม่คิดว่าเจ้านายมายุ่งเรื่องพวกนี้ แต่ว่าไปอ้างเจ้า อ้างนายหมด เจ้านายเสียหายก็เพราะพวกนี้ วันนี้ต้องหยุดเพราะสถาบันกษัตริย์ต้องอยู่คู่กับสังคมไทย ต้องช่วยกันปกป้องแต่ไม่ใช่มาแสดงความจงรักภักดีจนเลยเถิดจนทำให้เสีย ความจงรักภักดีอยู่ที่การกระทำ ไม่ต้องแสดง ไม่ต้องพูด นี่เกิดขึ้นจากความเป็นสองมาตรฐาน
ต้องรักษาสถาบันอยู่คู่สังคมไทย
ตอนที่ม็อบสีเหลืองบุกยึดทำเนียบ คุณสมัครประกาศภาวะฉุกเฉิน มอบให้คุณอนุพงษ์ไป แต่ก็แบะๆๆ ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ปลัดมหาดไทยก็ค้าน คนนั้นก็ค้าน ทำอะไรไม่ได้ ไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง แล้วพอยึดสนามบิน คุณสมชายเป็นนายกฯก็ประกาศภาวะฉุกเฉิน ก็ไม่กล้าสั่งทหาร ก็ไปสั่งตำรวจ ก็จะไปช่วยอย่างไร เมื่อทหารปลอมเป็นสีเหลืองอยู่ข้างใน เอาปืนเอาอะไรไปด้วย แล้วประเทศเจ๊งไปเท่าไหร่ เสียหายไปเท่าไหร่ ทำไมไม่พูดกัน ตะแบงอย่างนี้ ชนะการเมืองได้แต่ชนะหัวใจประชาชนไม่ได้ เพราะวันนี้ประชาชนไม่โง่ เขารู้หมด ไม่เช่นนี้ไม่ยอมเสียเงินกันเองขนกันมาชุมนุมหรอก เพราะเขารับไม่ได้กับความไม่ยุติธรรม ไม่ใช่หน้าด้านตะแบงกันไป ในเมื่อความเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาล รัฐธรรมนูญยอดเยี่ยมมาก ยุบ 3 พรรคสืบพยานวันเดียว สืบเช้า บ่ายยุบ เพื่อให้ทัน 4 ธันวาคม ดีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงไม่ออกมหาสมาคม เพื่อให้ทันวันที่ 4 เลย ยุบวันที่ 2 รีบยุบ 3 พรรคการเมือง คุณมี ประสิทธิภาพขนาดนั้นเลยเหรอ ดูคุณสมัครไปทำกับข้าวออกทีวี ไปรับค่าออก 3,000 กว่าบาท กฎหมายไม่มีไปเปิดพจนานุกรม แล้วคนเป็นถึงนายกฯปลดกันง่ายๆ อย่างนี้เหรอ ระบบใครจะเชื่อถือประเทศไทย เขาบอกว่า Thailand is a joke อายเขาไหม
บางกอกโพสต์ และเนชั่น บอกว่าผมฟูจิทีฟ (คนหนีคดี) ผมไปไหนเขาก็ต้อนรับผม เมื่อคืนเขาก็เอาตำรวจมานอนเฝ้าหน้าห้อง เขาไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เขาไม่เชื่อหรอกว่าคดีอย่างนี้ติดคุก อายเขาไหม นี่คือสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นในประเทศไทย ผลัดกันเป็นรัฐบาลไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เป็นความช้ำชอกของประเทศไทย ความเสียหายของสถาบันเราต้องรักษาให้อยู่คู่กับสังคมไทย คือเป็นสถาบันภายใต้ระบอบรัฐธรรมนูญที่เป็นเรื่องสากล สุดท้ายไม่มีอะไรดีเลย เป็นประโยชน์ส่วนตัว
องค์กรอิสระทั้งหลาย ท่านทั้งหลายต้องทำหน้าที่ ท่านต้องเลิกฟังและแอบอ้าง เพราะสถาบัน เป็นสถาบันที่ศักดิ์สิทธิ์ จริงๆ ศาลส่วนใหญ่เป็นคนดี แต่วันนี้ศาลบางคนยอมรับคำสั่ง ต่อไปบอกว่าพาผมเข้าเฝ้าฯซิ ของปลอมทั้งนั้น พระเจ้าอยู่หัวไม่มีเรื่องอย่างนี้ ท่านต้องรักษาสถาบันของท่าน ท่านไม่ต้องไปเชื่อใคร ขอให้ผมเป็นเหยื่อคนสุดท้าย พอแล้วเพื่อลูกหลาน เพื่ออนาคตลูกหลานของเรา มีระบบที่ดี คนนี้ดึงทีวุ่นวายกันหมด เสียหายหมด
ประเทศไทยถูกลากถอยหลัง15ปี
ป.ป.ช.ก็เหมือนกัน มีตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์อยู่ใน ป.ป.ช. ก็ขอให้ทำหน้าที่ ป.ป.ช. เถอะ ระบบศาลเดียวก็เช่นกัน เป็นระบบศาลที่ยูเอ็นเขาไม่รับ ที่อื่นก็ไม่รับ เขาเลิกแล้ว เขาไม่เชื่อว่าคนกลุ่มหนึ่งตัดสินใจแล้วจะให้ความเป็นธรรม ระบบศาลเดียวเป็นระบบไต่สวน
เรื่องทหารกับการเมือง ป๊อกเอ๊ย ไอ้ตุ้ยเอ๊ย พาลูกน้องกลับที่ตั้งเถอะ ถ้าอยากเล่นการเมืองให้ออกมาเถอะ ถ้าเพื่อนเอาสถาบันมาเล่นการเมือง สถาบันจะถูกการเมืองเล่นไม่คุ้ม วันนี้ภารกิจของเพื่อนยังมีเยอะที่ภาคใต้ ยังไม่จบ มีข่าวทหารถูกตัดคอและยิงตาย บางทีตัดของลับไปทำมนต์ดำก็มี ไม่ต้องออกมาช่วยเขาตั้งรัฐบาลหรอก เลิกเถอะ อย่าเชื่อน้ำมนต์คนที่เคยออกไปจากผมเลย น้ำมนต์ดี ถ้าเพื่อนอยากเล่นการเมือง อย่าเอาสถาบันของเพื่อนไปเล่นด้วย เวลานี้เห็นใจว่าของบฯพันล้านไปให้ กอ.รมน. อ้างเศรษฐกิจพอเพียง แต่จริงๆ จะไปช่วยล้างสมองชาวบ้าน ระวังชาวบ้านไม่ให้ทหารเข้าหมู่บ้าน อย่าทำเลยเรื่องซึ่งเป็นเรื่องของประชาชน อย่าคิดว่าพี่น้องในต่างจังหวัดเขาโง่นะ เขารู้เรื่องดีกว่าบางคน ปล่อยให้เขาคิดเองทำเอง ไม่ต้องไปครอบงำเขา วันนี้สิ่งที่ทหารเข้ามายุ่งการเมืองการปฏิวัติ มีการเขียนรัฐธรรมนูญ 2550 ลากประเทศถอยหลังไป 15 ปี วันนี้เศรษฐกิจโลกทำให้ช้าไปอีก 7 ปี แล้วเมื่อไหร่ความทุกข์ยากของประชาชนจะพ้น
จ่าย10ล้านแลกเก้าอี้ รมต.
เรื่องรัฐธรรมนูญ 2540 กับ 2550 เมื่อก่อนนี้การเมืองเราเดี๋ยวล้มเดี๋ยวล้ม บางพรรคมี ส.ส. 5 คนก็สามารถข่มขู่นายกฯขาสั่น จะเอาตำแหน่ง เขาจึงร่างรัฐธรรมนูญ 2540 มาให้นายกฯมีความเข้มแข็ง แต่ปี 2550 ไปแก้จนได้รัฐบาลอ่อนแอง ไม่ต้องมีระบบพรรค ส.ส. สามารถรวมกลุ่มกัน เรื่องเอสเอ็มอี ท่านอภิสิทธิ์ไม่ต้องส่งเสริมที่ไหน แต่ไปส่งเสริมใน ครม. ลงทุนตอนพรรคพลังประชาชนถูกยุบ พรรคขนาดเอส มี ส.ส. 5 คน จ่ายคนละ 10 ล้าน หัวหน้าก๊วนได้เป็นรัฐมนตรี พรรคขนาดเอ็มก็จ่าย ตอนนี้ไปตั้งพรรคใหม่เป็นขนาดแอล เอานักฮั้วมาเป็นหัวหน้าพรรคก่อนเพื่อรออีแอบมาเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่
ผมก็เลยไม่รู้ว่าระบอบรัฐธรรมนูญ 2550 เป็นประโยชน์ประเทศตรงไหน เป็นผู้นำประเทศไปตกลงอะไรกับใครที่ไหนไม่ได้ เพราะจะผิด ม.190 ผมเคยนั่งประชุมกับรัฐมนตรีพม่า จนต้องไปพูดกับท่านตาน ฉ่วย ว่าให้ท่านไปประชุมเองเถอะ เพื่อจะได้อธิบาย ส่วนนายกฯพูดไม่ฟังหรอก เพราะเขาไม่กล้าตัดสิน ถามคนเดียว แต่ของเราต้องถามทั้งสภา และภาวะผู้นำทั้งในประเทศไม่มี จะแก้ที่มาขององค์กรอิสระก็ปิดประตูตีแมว ส.ว.ครึ่งหนึ่งมาจากการแต่งตั้ง ในที่สุดก็มีทั้งเอสเอ็มอี พันธมิตร ดอกไม้ประดับเพื่อให้หน้าตาดี ในที่สุดก็เป็นประชาธิปไตยตรงไหน ขอคืนให้คนไทยเถอะ
ย้ำปฏิวัติเป็นสิ่งเลวร้าย
ความขัดแย้งทั้งหมดเพราะเราไม่สามารถเล่นตามกติกา กฎหมาย เพราะมีคนแทรกแซงให้กติกา เราเกิดสองมาตรฐานตลอดเวลา แล้วต้องยอมรับว่าหลายระบบที่เกิดขึ้นเป็นของเน่ามาจากการปฏิวัติ ที่ผมเรียกว่าผลไม้ที่เกิดจากต้นไม้เป็นพิษ ดังนั้น การปฏิวัติเป็นสิ่งเลวร้าย เราต้องเรียนรู้ว่าการปฏิวัติครั้งนี้เกิดเพราะการสร้างสถานการณ์และการปั่นป่วน ต้องการให้เกิดการย้ายข้างเปลี่ยนข้าง เมื่อไม่รู้จะย้ายอย่างไรก็เลยปฏิวัติ
ผมไม่บอกนะว่าการปฏิวัติทำให้เกิดเศรษฐีใหม่ มียศ พล.อ. บางฝ่ายได้รับข้อกล่าวหายัดเยียดข้างเดียว ขณะที่อีกฝ่าย ทำอะไรก็ถูก อีกข้างผิดหมด พี่บรรหาร (นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย) มาร่วม ยังถูกป๋า งอนไม่ให้เข้าบ้านเลย แต่ตอนนี้คงให้เข้าบ้านแล้วเพราะไปร่วมกับรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์
เพื่อนสื่อมวลชนเล่าสู่กันฟังว่า วันนี้ไม่มีแล้วฟรีดอม ก็หวังว่าจะใช้วิชาชีพอย่างเต็มที่ วันนี้ถามว่าวุ่นวายอย่างนี้จะเอาอย่างไร ก็ต้องมีกรรมการห้ามมวย ท่าน พล.อ.เปรมไม่มายุ่ง ท่านก็น่าจะเป็นได้ แต่วันนี้ท่านมายุ่งจนสงสัยว่า หรือว่าท่านต้องการตอบแทนพรรคประชาธิปัตย์ นี่คือสิ่งที่คนสงสัย ทำให้ท่านไม่สามารถเป่านกหวีด
วันนี้ต้องขอร้องว่าท่านที่ถวายงานทั้งหลาย หยุดอ้างสถาบันได้แล้ว หยุดเถอะ และหยุดไปอ้างทำให้ท่านเสียหาย สังคมไทยต้องการสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมเคยกราบบังคมทูล คนไทยไม่ฟังกัน อย่างน้อย ผมกราบบังคมทูลด้วยความสัตย์จริง ยังมีรายละเอียดอีกเยอะ ผมมัวแต่ทำงานไม่ได้มีเวลาตอบโต้ แม้แต่ทีวีพูลยังเลือกภาพบางภาพไปออก ก็ตอบไม่ได้ นี่คือเข้าไปแทรกแซงตั้งแต่ผมเป็นนายกฯอยู่ แล้วผมก็ซวยผีซ้ำด้ำพลอย
เรียกร้องสีแดงรวมตัว
ผมก็เคยบวชเรียนก็เข้าใจเรื่องของกรรม ของบุญ ผมโดนผีซ้ำด้ำพลอยหลายเรื่อง ถูกปฏิวัติเสร็จ ลูกน้องเก่าก็ไปเพ็ดทูลว่าผมคิดจะล้มล้าง โอ้โห คนอย่างผมไม่เคยทะเยอทะยาน แต่ชอบทำงาน บ้างาน ถ้ามอบหมายให้ก็ทำเต็มที่ เพราะผมทำงาน ผมรักประชาชนรักประเทศ ผมก็ทำงานถวาย นำศักดิ์ศรี นั่นคือสิ่งที่ผมพยายามทำ ไม่มีเวลาแก้ตัว แต่โดนใส่ความตลอดเวลา คนที่เคยอยู่ใกล้ชิดผมแท้ๆ ก็มาเพ็ดทูลเพราะหวังจะเป็นนายกฯ แต่เขาจองกฐินไว้แล้ว คุณสุรยุทธ์เขาจองไว้แล้ว
แล้ววันนี้ก็ไม่พอนะครับ คนที่เคยอยู่กับผมก็ออกไปพูดอีกว่าที่อยู่กับผมทนไม่ได้เพราะผมจะล้มล้าง โธ่เอ๊ย เอ็งจะไปหาตังค์เอ็งก็บอกมาเถอะ อย่ามาอ้างข้า บาปกรรม ผมไม่เคยหวั่นไหวเพราะผมทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม แต่ขอบอกว่าผมโดนอย่างนี้ผมเจ็บ แต่ถามว่าผมต้องดิ้นขนาดไหน ผมปรับตัวของผมได้พอสมควรแม้จะอยู่ต่างประเทศ แต่ผมไม่ต้องการให้ตัวผมเป็นข้ออ้างใดๆ ทั้งสิ้น แต่ต้องการให้บ้านเมืองกลับคืนสภาพโดยเร็วที่สุด
หลักบอกว่า ถ้าไม่มีความมั่นคงก็สร้างความมั่งคั่งไม่ได้ แต่มั่นคงในที่นี้ไม่ใช่เรื่องมั่นคงของทหาร ที่มั่นคงคือซื้ออาวุธ และกุมอำนาจ แต่การเมืองมีเสถียรภาพ หลักเกณฑ์ที่ถูกต้องมีความเป็นประชาธิปไตย นั่นคือการเมืองที่เรียกว่าความมั่นคง ถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่กลับมา การแก้ปัญหาเศรษฐกิจก็ยาก ผมขอเชิญชวนพี่น้องมาช่วยกัน พี่น้องสีแดง ที่มารวมกันเพราะรักประชาธิปไตยใช่ไหม มองว่าถูกเขาขโมยไปใช่ไหม เราต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริงกลับมาใช่หรือไม่ อยากเห็นความเป็นธรรมใช่หรือไม่ อยากเห็นการเลิกระบบสองมาตรฐานใช่หรือไม่ สีแดงจะผนึกกำลัง ถ้าความเป็นธรรมไม่กลับคืนมา สีแดงจะไม่มีทางที่จะหายไป
ย้ำองคมนตรี-ทหารเลิกยุ่ง
องคมนตรีต้องเลิกเล่นการเมือง ทหารก็อย่ายุ่งการเมือง พี่น้องเพื่อนทหารตำรวจส่วนใหญ่ไม่สบายใจที่เห็นลูกพี่มาเล่นการเมืองแต่ลูกพี่บางที่มันก็ต้องเอาตัวรอด แต่บางที่ไม่ใช่เพราะมันมันส์ พี่น้อง เพื่อน ส.ส.เพื่อไทย ไทยรักไทย พลังประชาชน ที่ถูกห้ามเล่นการเมือง อย่าเหนียม ถ้ารักประชาธิปไตย ถ้ารักความเป็นธรรม ท่านคือเหยื่อคนหนึ่งที่ถูกความไม่เป็นธรรมรังแก ขอให้ขึ้นเวทีเสื้อแดงได้แล้ว ไม่ต้องมาเหนียม เวทีเสื้อแดงเต็มทั้งประเทศ แล้วพี่น้องที่มีกำลัง ถ้าคิดถึงอนาคตประเทศไทยคิดถึงลูกหลานต้องมารวมพลังกันจนกว่าประชาธิปไตยที่แท้จริงจะกลับคืนสู่ประเทศไทย แล้วจนกว่าระบบสองมาตรฐานจะถูกยกเลิก และจนกว่าไม่มีสถาบันใดที่เราเคารพนับถือมายุ่งการเมือง อย่างสถาบันองคมนตรีไม่มายุ่งการเมือง
คุณอภิสิทธิ์บอกว่าไม่ควรไปยุ่งกับผู้ใหญ่ คนเป็นอดีตนายกฯไม่ใช่เด็กและองคมนตรี ผมเคารพทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิ แต่บางท่านมาเล่นการเมือง โดยเฉพาะมาเล่นการเมืองกับผม ผมต้องเล่นการเมืองด้วย ไม่มีกฎหมายข้อไหนบอกว่าองคมนตรีเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ ไม่ใช่ หลายคนก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าของผม ผมก็ยังยกมือไหว้เขาเมื่อผมพ้นจากตำแหน่ง แต่ว่าการให้เกียรติ แต่การให้เกียรติต้องให้สองฝ่าย แต่การมาเล่นการเมืองอย่างนี้ก็ช่วยไม่ได้ที่การเมืองจะไปเล่น
แล้วจะมีทางออกอย่างไร รัฐธรรมนูญ 2550 ที่เกิดทำให้เกิดเอสเอ็มอี คือไปประกอบธุรกิจการเมืองขนาดเล็กและขนาดกลาง ผมได้รับโทรศัทพ์จากเพื่อน ส.ส.จากประเทศในสหภาพยุโรป บอกว่าตามกระทรวงเวลานี้กินกันจนไม่รู้ว่า เหมือนกับว่าจะไม่มีวันพรุ่งนี้ รีบตะกรุมตระกรามกิน แต่นี่คือจุดอ่อนของรัฐธรรมนูญ ที่ทำให้เกิดก๊กก๊วนต่อรอง ผมเห็นใจคุณอภิสิทธิ์ เหมือนคนขาดภาวะผู้นำ ใครจะเอางบฯอะไรก็ต้องประเคนให้ โดนกลุ่มพันธมิตรที่เห็นแล้วว่าได้รับตำแหน่งกันถ้วนหน้า คนที่เคยต่อสู้มานั่งกับเสื้อแดงวันนี้ก็มี เราต้องเรียนรู้จากความเป็นจริง เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก และหวังว่าการปฏิวัติ 19 กันยายนให้เป็นปฏิวัติครั้งสุดท้าย มันทำลายอนาคตลูกหลาน 3 ปีประเทศไทยไม่มีอะไร ตอนนี้ตกงานทุกวันๆ ละหลายพันคน ปี 2552 คนไทยจะตกงานไม่น้อยกว่า 1 ล้านคน เรามีปัญหากันเองจนทำให้เราเจ๊ง ปิดสนามบินทำให้เกิดปัญหา และปิดทำไม ไม่ใช่พวก พธม.ธรรมดาทำ ถ้าไม่ใช่ทหารเข้าไปยุ่ง และถ้าไม่มีใครแอบอยู่ข้างหลัง หากไม่มีใครแอบหรือให้ยาโด๊ปไม่มีใครกล้าหรอก
แนะทางออกให้ยุบสภา-แก้รธน.
ทางออกก็คือเราต้องมาเริ่มต้นกันใหม่ วันนี้ที่ฟ้องกันไปมาเพราะกลัวการล้างแค้น ไม่มีใครยอมใคร ถ้าไม่เป่านกหวีดหยุดแล้วเริ่มต้นใหม่ โดยนายอภิสิทธิ์ซึ่งมาเป็นนายกฯเหมือนมาดาร์ กัสกา ที่ทหารปฏิวัติเอาเด็กอายุ 30 กว่ามาปกครอง แล้วไม่มีใครรับรอง ของเราถ้าต้องการให้เกิดกระบวนการที่ถูกต้อง ต้องให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ดังนั้นนายอภิสิทธิ์ต้องยุบสภา เลือกตั้งใหม่ แล้วกลับมาแก้รัฐธรรมนูญ เอาปี 2540 เป็นตัวตั้ง แล้วปรับแก้ที่จำเป็น และให้องค์กรที่เกี่ยวข้องทำหน้าที่อย่างเป็นกลาง เป็นธรรม ทหารกลับกรมกอง ทุกฝ่ายกลับที่ตั้ง เป่านกหวีดเริ่มกันใหม่
เรื่องที่ฟ้องกันไปมาคงต้องยกเลิก แต่พอล่อกันนัวเนีย เล่นข้างเดียวคงไม่มีใครยอมใคร จึงต้องเริ่มต้นใหม่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ให้เริ่มเหมือนเลือกตั้งใหม่เหมือน 2 เมษายน 2548 แล้วไปแข่งขันกัน โดยผมไม่ลงเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์จะได้สบายใจ แต่ขอให้กรรมการพรรคไทยรักไทยทั้ง 111 ลง เพราะนักการเมืองคุณภาพเริ่มหายไป จากที่โดนน็อคทีละชุด คิดว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องมีทางออกให้ประชาชน


ภาคผนวก 5


วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11340

"พัลลภ"ยัน"สุรยุทธ์"ร่วมวง วางแผนล้ม"ทักษิณ" จี้ลาออก"องคมนตรี

หมายเหตุ - พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ให้สัมภาษณ์และตอบคำถามที่บ้านพัก โชคชัย 4 ซอยลาดพร้าว 51 เมื่อวันที่ 27 มีนาคม ถึงเหตุการณ์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โฟนอินพาดพิง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี ว่าอยู่เบื้องหลังร่วมวางแผนโค่นล้มระบอบทักษิณ
การวางแผนโค่นล้มระบอบทักษิณ เป็นเรื่องจริงแต่ว่าเขา (พล.อ.สุรยุทธ์) ไม่เคยเชิญผมเข้าร่วมประชุม แต่เจ้าของบ้านที่สุขุมวิทเชิญผม และประชุมร่วมกัน ไม่ได้ประชุมแค่ครั้งเดียว แต่ประชุมกัน 3-4 ครั้ง มีการพูดคุยปัญหาของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณว่าจะให้รัฐบาลล้มไปอย่างไรโดยมี 2 แนวทางคือด้านรัฐธรรมนูญ หรือด้านกฎหมาย ถ้าไม่สำเร็จก็จะทำรัฐประหาร

การทำรัฐประหารมีการพูดหรือไม่ว่าใครจะเป็นนายกฯ
ไม่ได้มีการพูดถึง เพียงแต่ พล.อ.สุรยุทธ์ เสนอขึ้นมาว่าการทำครั้งนี้ทำเพื่อประเทศชาติ ทุกคนจะต้องไม่หวังตำแหน่งใดๆ ซึ่งทุกคนศรัทธาในตัวท่าน การหารือเป็นลักษณะโต๊ะกลม ซึ่งไม่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) นั่งอยู่ด้วย
พล.อ.สุรยุทธ์บอกว่าไม่อยากเป็นนายกฯ แต่ คมช.เชิญให้ไปเป็น
คงต้องไปถามท่าน ผมเดาใจไม่ถูก เพราะทุกคนงงหมด ผมเองก็งง
แสดงว่า พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นตัวตั้งตัวตีในการวางแผนล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ
จะพูดว่าตัวตั้งตัวตีคงไม่ได้หรอก แต่ว่าการประชุม พล.อ.สุรยุทธ์ จะมาทุกครั้ง
พอจะบอกได้หรือไม่ว่าคนที่เป็นแกนนำในการล้มรัฐบาลเป็นใคร
อันนี้ผมบอกไม่ได้ เพราะว่าผมไม่อยากพาดพิงถึงคนอื่น แต่เมื่อ พล.อ.สุรยุทธ์ มาพาดพิงถึงผม ผมก็จะพูดถึง พล.อ.สุรยุทธ์ เท่านั้น ซึ่งการประชุม 3-4 ครั้ง ก็จะมีการพูดถึงแนวทางเรื่องการล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณตลอด ซึ่ง พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นคนเสนอในที่ประชุมเองว่าการทำงานครั้งนี้ เราทำเพื่อประเทศชาติ ทุกคนต้องไม่หวังตำแหน่งลาภยศใดๆ
หลังจากปฏิวัติรัฐประหาร พล.อ.สุรยุทธ์ ก็ไปเป็นนายกฯ ทำให้พวกเราผิดหวังมาก ตอนแรกก็ชื่นชม พล.อ.สุรยุทธ์ มากเกี่ยวกับแนวความคิดดังกล่าว พูดง่ายๆ พล.อ.สุรยุทธ์ เสียสัจจะ กลายเป็นคนไม่มีสัจจะและผิดมติในที่ประชุม ในการพูดคุยกันวันนั้นมี 7 คน ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองทั้งนั้น หลังจากนั้นผมไม่พูดจากับ พล.อ.สุรยุทธ์อีกเลย เจอหน้ากันก็ทำเหมือนคนไม่รู้จัก ทั้งๆ ที่เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผม
ในการพูดคุยมีการวางแผนอย่างไร
อย่างแรกคือการวางแผนด้านกฎหมาย และการทำรัฐประหารว่าจะทำอย่างไร ที่ผมไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ท่านทราบหมดแล้ว แต่ท่านถามผมในลักษณะใช่หรือไม่ใช่ ยกตัวอย่างเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เล่าให้ผมฟังคือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กับ พล.อ.สุรยุทธ์ เชิญ พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไปพบที่บ้าน พล.ต.จำลอง แถวราชวัตร และล็อบบี้ให้ พล.อ.จาตุภัทร ถอนตัวออกจาก กกต. เพื่อล้มการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 ซึ่ง พล.อ.จารุภัทรรายงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณรับทราบ จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณไปหา พล.อ.สุรยุทธ์ที่ทำเนียบองคมนตรี เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงแต่ พล.อ.สุรยุทธ์ปฏิเสธ
พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธาน กกต.ก็เคยได้รับเชิญไปที่บ้านสุขุมวิท เพื่อไปพบ พล.อ.สุรุยุทธ์ และล็อบบี้ให้ลาออกเพื่อล้มการเลือกตั้ง ดังนั้นเรื่องนี้ไม่เป็นความลับ พ.ต.ท.ทักษิณรู้ดีตั้งแต่ต้นว่าจะมีการล้มรัฐบาล เพราะมีแหล่งข่าวที่ติดตามพวกที่เคลื่อนไหวทั้งหมด เพียงแต่มาสอบถามผมว่า เรื่องที่รู้มาจริงหรือไม่ เมื่อตอนที่ผมไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณที่จีน
พ.ต.ท.ทักษิณ พุ่งเป้าไปที่ พล.อ.สุรยุทธ์ เพื่อพาดพิงถึงสถาบันเบื้องสูงใช่หรือไม่
ไม่ทราบ
พ.ต.ท.ทักษิณรู้ตลอดเวลาว่าจะถูกปฏิวัติใช่หรือไม่
ท่านรู้มาตลอดทุกเรื่อง แม้แต่แผนการปฏิวัติ เพียงแต่ไม่รู้ว่า ปฏิวัติเมื่อไร แต่ท่านประมาทเพราะไว้ใจคนใกล้ตัวและเพื่อน ตท.10 ที่คุมกำลังอยู่ในกองทัพ ที่ประชุมพูดกันเพียงว่า จะล้มรัฐบาล ส่วนการลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มี การรัฐประหารโดยปกติจะต้องล็อคตัวนายกฯซึ่งคนละเรื่องกับการลอบสังหาร ขอยืนยันว่า ไม่มีการลอบสังหาร แต่อาจเป็นการเข้าชาร์จหรือล็อคตัวนายกฯ
ประเทศชาติจะมีทางออกอย่างไร
ที่ผมตัดสินใจไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ คือเรื่องความวุ่นวายในบ้านเมือง ผมไม่อยากเห็นคนไทยฆ่ากัน มีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองให้สัมภาษณ์ว่าคนที่จะแก้ไขปัญหาได้คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำให้ผมอยากพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งวันนี้เงื่อนไขทางการเมืองเปลี่ยนไป คือรัฐบาลตั้งขึ้นมาโดยไม่มีความชอบธรรมเพราะต้องให้เสียงข้างมากเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล แต่นี่ล็อบบี้กันแบบงูเห่า
ผมอยากฝากไปถึง พล.อ.สุรยุทธ์ ว่าเพื่อรักษาสถาบันอันมีเกียรติแห่งนี้ท่านควรจะลาออกจากตำแหน่งองคมนตรี เพราะองคมนตรีต้องไม่ยุ่งกับการเมือง แต่ท่านเป็นคนที่เข้ามายุ่งกับการเมือง ดังนั้นเพื่อรักษาสถาบันอันสำคัญยิ่งไว้ ผมคิดว่าท่านควรจะต้องลาออก ในฐานะที่ผมเป็นอดีตผู้บังคับบัญชา และรุ่นพี่ ผมไม่มีอะไรกับท่านเลย
มองอย่างไร ที่ พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นองคมนตรี และไปรับตำแหน่งนายกฯ เมื่อเสร็จภารกิจก็ยังกลับมาเป็นองคมนตรีได้ ซึ่งคนมองว่าเป็นการมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง
คนเขาพูดกันอยู่แล้ว ผมไม่ต้องพูด
การกลับไปครั้งนี้เป็นเพราะ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ คอยเป็นแบ๊คหนุนใช่หรือไม่
ผมไม่อยากพูดเลยไปถึงนั้น ผมพูดเฉพาะ พล.อ.สุรยุทธ์ คนเดียวที่พาดพิงมาถึงผม คนอื่นผมไม่อยากพูด
มองอย่างไรที่มีการพูดพาดพิงองคมนตรี เพราะจะทำให้ภาพพจน์ของสถาบันดังกล่าวเสื่อมลง
ตอนที่ พล.อ.สุรยุทธ์ เดินหน้าล้มการเลือกตั้ง ท่านบอกว่าไม่ได้ไปประชุม แต่ไปปรึกษาหารือ ซึ่งท่านเป็นองคมนตรีอยู่แล้วท่านเป็นคนดึงสถาบันนี้ลงมา ผมจึงขอฝากเรียนท่านวันนี้ว่า ให้ท่านลาออกเสียเถอะ เพื่อควบคุมสถาบันอันสำคัญยิ่งของประเทศไว้ด้วยความหวังดี ทั้งนี้ผมไม่เคยมีเรื่องอะไรกับท่าน เพียงแต่ผิดหวังที่ท่านเสียสัจจะ
มีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองติดต่อให้ท่านหยุดพูดเรื่องนี้หรือไม่
ไม่มี อย่างวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา ที่ประชุมมูลนิธิไทยอาสาป้องกันชาติ (ทสปช.) เขาแจ้งมาว่าคณะกรรมการไม่ครบขอเลื่อนไปก่อน จึงไม่ได้ไปประชุม
จุดยืนของท่านต่อสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้
จุดยืนผมรับใช้ประเทศชาติ และมีความจงรักภักดีต่อสถาบันมาโดยตลอด เมื่อหลายคนบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คนเดียวที่จะแก้ไขปัญหาประเทศชาติได้ ทำให้ผมผุดไอเดียขึ้นมา พอดีนายพิเชษฐ์ สถิรชัชวาลย์ อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย และเป็นก๊วนกอล์ฟกับตน ชวนไปหา พ.ต.ท.ทักษิณ ที่จีน จึงให้นายพิเชษฐ์ โทรศัพท์ไปหา พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อให้ผมเข้าพบ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่ายินดีให้ผมหารือ จึงเดินทางไปหา สาเหตุที่ผมไปพบ เพราะไม่อยากเห็นคนไทยฆ่ากัน ผมก็ถาม พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไร เหมือนเมื่อครั้ง 2540 ที่ผมเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ขณะนั้นผมเป็นฝ่ายเสธฯของ ผบ.ทหารสูงสุด คือ พล.อ.วัฒนชัย วุฒิศิริ เราจึงมาคุยปรึกษาหารือกันว่าวันหนึ่งพรรคประชาธิปัตย์จะต้องเป็นพรรครัฐบาล แต่ทุกคนรู้ว่าพรรคประชาธิปัตย์กับทหารไม่ถูกกัน เพราะฉะนั้นคิดกันว่าเราจะเข้าไปอยู่พรรคประชาธิปัตย์ดีหรือไม่ อย่างน้อยก็จะไปเป็นตัวประสานให้ทหารกับพรรคประชาธิปัตย์ไปด้วยกัน ผมจึงสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์
บางคนกล่าวหาว่าผมไปรับเงินจาก พ.ต.ท.ทักษิณ 3-4 พันล้านบาท ผมยืนยันได้ว่าที่ผมไปครั้งนี้ได้รองเท้ากอล์ฟมาเพียงคู่เดียว ซึ่งผมจะไปซื้อมาเล่นกอล์ฟ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่าไม่ต้องออกเงิน ท่านจะออกให้ รวมทั้งจ่ายเงินค่าแคตดี้ และค่าที่พักให้เท่านั้น ตกเป็นเงินไทยไม่ถึง 5,000 บาท ผมยืนยันว่าไม่ได้ไปรับเงิน เพราะผมไม่ได้ไปคนเดียว แต่ไปถึง 4 คน และเวลาคุยก็คุยด้วยกันทั้งหมด หากรับเงินจริงวันนี้ซื้อรถเบนซ์แล้ว
ในฐานะประชาชนจะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างไร
ทุกคนอยากให้ประเทศชาติมีความมั่นคง ประชาชนอยู่อย่างสันติสุข มีความปรองดองในชาติ ทั้งนี้ถ้านิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะเพียงแค่ไปเซ็นให้ภรรยาซื้อที่ดิน ต้องจำคุก 2 ปี ซึ่งจะทำให้ประเทศชาติสู่ความมั่นคงประชาชนอยู่สันติสุขได้ ผมคิดว่าควรจะเลือกทางนั้น สมัยปี 2524 สมัยที่ผมนำกำลังทหารเข้ามาปฏิวัติ โทษของผมสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต ผมถูกข้อหากบฏ และขัดพระบรมราชโองการ ยังสามารถนิรโทษกรรมได้ ซึ่งแรงกว่ากันเยอะมาก
แสดงว่าควรจะนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ คนเดียวเพื่อให้ประเทศชาติกลับมาเกิดความมั่นคงอีกครั้ง
กี่คนก็แล้วแต่ ถ้าทำแล้วทำให้ประเทศชาติกลับมาสมานฉันท์มีความมั่นคงประชาชนอยู่อย่างสันติสุขผมคิดว่าควรทำ และต้องรีบทำด้วย เพราะวันนี้ไม่ใช่เฉพาะปัญหาความมั่นคง แต่มันเป็นปัญหาของเศรษฐกิจด้วย



ที่ จปร.7 ออกมาเคลื่อนไหว ทั้งตัวท่าน พล.ต.จำลอง และ พล.ต.มนูญกฤต มีนัยอะไรหรือไม่
คงเป็นฟ้าลิขิต แต่ยืนยันว่าเพื่อนก็คือเพื่อน แต่ประเทศชาติต้องมาก่อน ที่ผ่านมา จปร.7 แตกออกเป็น 2 พวก คือ กลุ่มยังเติร์ก กับทหารประชาธิปไตย แต่ส่วนใหญ่เลิกกันไปหมดแล้ว เหลือเพียง 3 คนเท่านั้น
มีการพูดคุยทางโทรศัพท์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่
โทร.คุยเมื่อสองวันที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ถามผมว่าสบายดีหรือไม่ ผมก็บอกว่าสบายดี ตอนนี้กำลังเล่นกอล์ฟอยู่ ไม่ได้คุยอะไรกันมาก และ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กล่าวขอโทษที่อ้างชื่อผม
เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยืมมือ พล.อ.พัลลภ ฆ่าศัตรูอีกฝั่งหนึ่ง
ไม่ใช่หรอก ผมบอกว่าไปขอพบท่าน แต่หากท่านขอพบผมอาจจะใช้ผมเป็นเครื่องมือ เงื่อนไขที่เกิดขึ้นคือรัฐบาลไม่ได้ขึ้นมาตามระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาแบบฉวยโอกาส วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นพรรคเก่าแก่ 63 ปี เป็นนายกฯ 4 สมัย ไม่ถึง 7 ปี เป็นฝ่ายค้าน 57 ปี แต่ละครั้งที่ขึ้นมาเป็นรัฐบาลก็เป็นแบบนี้

ภาคผนวก 6

17 มีนา:วันสาธารณรัฐอังกฤษ
โดย ใจ อึ๊งภากรณ์

วันที่ 17 มีนาคม เป็นวันครบรอบ 360ปี แห่งการประกาศสาธารณรัฐในอังกฤษ ในวันนั้น ในปี 1649 ไม่กี่วันหลังจากที่จับกษัตริย์ชาร์ลสที่หนึ่งมาตัดหัว รัฐบาลสาธารณรัฐภายใต้แกนนำของประธานาธิบดี Oliver Cromwell แถลงว่า









“ตำแหน่งกษัตริย์เป็นสิ่งไม่จำเป็น เป็นภาระทางสังคม และเป็นภัยต่อเสรีภาพ ความปลอดภัย และผลประโยชน์ของประชาชน”
การประกาศสาธารณรัฐเกิดขึ้นหลังการปฏิวัติทุนนิยมและสงครามกลางเมือง ท่ามกลางการต่อสู้นี้ฝ่ายต้านกษัตริย์เริ่มเข้าใจว่าต้องประหารชีวิตกษัตริย์ เพราะเขาจะไม่ยอมเลิกสู้ถ้าปล่อยไป

นักเขียนคนสำคัญที่อธิบายเหตุผลและความชอบธรรมในการประหารกษัตริย์คือ John Milton ซึ่งเป็นคนที่ต่อสู้เพื่อเสรีภาพในการเขียนและการแสดงออกในยุคนั้น และต่อมาเขาได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศอังกฤษในสาธารณรัฐใหม่

แต่ฝ่ายสาธารณรัฐในการปฏิวัติทุนนิยมอังกฤษมีสองซีก คือซีกชนชั้นระดับกลางที่ประกอบไปด้วยนายทุนอย่าง Cromwell และซีกที่เป็นคนยากจน พวกหลังนี้จัดตั้งหลวมๆ ในองค์กรชื่อ Levellers ท่ามกลางการปฏิวัติจึงเกิดการถกเถียงว่าควรจะนำไปสู่ประชาธิปไตย “หนึ่งคนหนึ่งเสียง” หรือไม่ และควรแจกจ่ายที่ดินให้ทุกคนอย่างเท่าเทียมหรือไม่ ในที่สุดฝ่ายคนจนแพ้ และหลังจากที่ประธานาธิบดี Cromwell ตาย ฝ่ายนายทุนก็ได้นำกษัตริย์ชาร์ลส์ที่สองกลับมา แต่กลับมาในรูปแบบประมุขของนายทุน ทั้งนี้เพื่อยับยั้งการต่อสู้เพื่อคนจนประมาณหนึ่งร้อยปีต่อมาเกิดการปฏิวัติทุนนิยมในฝรั่งเศสในปี 1789 และกษัตริย์ฝรั่งเศสและราชวงศ์ถูกประหารหมด ด้านซ้ายของรัฐสภาใหม่เป็นที่นั่งของพวกที่เข้าข้างคนจน ส่วนซีกขวาของรัฐสภาเป็นที่นั่งของนายธนาคารและนายทุน ท่ามกลางกระแสการปฏิวัติ มีนักเขียนและนักเคลื่อนไหวชาวอังกฤษชื่อ ทอมมัส เพน เขียนหนังสือ The Rights of Man เพื่อยืนยันความสำคัญของสิทธิมนุษยชน และวิจารณ์ระบบกษัตริย์ที่ถ่ายทอดอำนาจทางสายเลือด

ทอมมัส เพน คือปัญญาชนของการปฏิวัติอเมริกา 1776 และมีส่วนร่วมในการปฏิวัติฝรั่งเศส 1789 เขาเกิดในครอบครัวคนจนที่เมือง Thetford, Norfolk ในประเทศอังกฤษเมื่อปี 1737 เมื่อจบการศึกษาขณะที่อายุเพียง 13 ปี เพน ต้องออกไปทำงาน หนังสือเล่มแรกที่มีชื่อเสียงของ เพน คือ Common Sense (“ปัญญาสามัญ” เขียนในปี 1776) ซึ่งเสนอเหตุผลว่าทำไมอเมริกาควรเป็นประเทศอิสระจากอังกฤษ ในไม่ช้าเล่มนี้กลายเป็นหนังสือสำคัญของการปฏิวัติอเมริกา

หนังสือ The Rights of Man (“สิทธิมนุษยชน”) เพน เขียนเป็นสองตอนระหว่างปี 1791-1792 หนังสือเล่มนี้เป็นการปกป้องความก้าวหน้าดีงามของการปฏิวัติฝรั่งเศส 1789 เพื่อโต้ตอบคำวิพากษ์วิจารณ์ของนักเขียนปฏิกิริยาในอังกฤษชื่อ Edmund Burke หนังสือเล่มนี้กลายเป็นหนังสือต้องห้ามในอังกฤษ การทำให้เป็นหนังสือต้องห้ามโดยรัฐบาลอังกฤษมีผลทำให้ผู้รักความเป็นธรรมในขบวนการแรงงานอังกฤษและในสังคมทั่วไปพยายามแสวงหาเล่มนี้ กลุ่มผู้ใช้แรงงานบางคนจะแอบซื้อเล่มนี้ทั้งๆ ที่อ่านหนังสือไม่ออก แล้วจะตั้งวงเพื่อให้คนอื่นอ่านให้ฟัง
เพน เสนอในหนังสือ Rights of Man ว่า ในโลกเรามักพบสองรูปแบบของการปกครองคือ หนึ่ง การปกครองตามระบบเลือกตั้งและระบบผู้แทน ซึ่งเรียกว่าระบบสาธารณรัฐ และสอง การปกครองของผู้สืบทอดอำนาจทางสายเลือด ซึ่งเรียกกันว่าระบบกษัตริย์หรือขุนนาง การปกครองสองรูปแบบนี้ยืนอยู่บนพื้นฐานที่ตรงกันข้าม คือพื้นฐานการใช้สติปัญญากับพื้นฐานความโง่

เนื่องจากการบริหารสังคมต้องการความสามารถและฝีมือ และเนื่องจากความสามารถและฝีมือไม่สามารถสืบทอดผ่านสายเลือดได้ง่ายๆ เราจะเห็นได้ว่าระบบการปกครองที่อาศัยการสืบทอดสายเลือดมีความจำเป็นที่จะให้มนุษย์ยึดมั่นในความเชื่อที่ปราศจากการใช้สติปัญญา คือดำรงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์จมอยู่กับความโง่ ดังนั้นเมืองไหนประเทศไหนเต็มไปด้วยความโง่ เมืองนั้นมีความเหมาะสมที่จะใช้ระบบสืบทอดการปกครองโดยสายเลือด แต่บรรยากาศของสาธารณรัฐย่อมนำไปสู่การพัฒนาความกล้าในการนึกคิดและกระทำที่ได้แต่สร้างศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์

สำหรับ เพน การเสนอว่า "กษัตริย์ย่อมกระทำผิดมิได้" เป็นการผลักดันให้กษัตริย์ดำรงอยู่ในสถานภาพเช่นเดียวกับคนปัญญาอ่อน หรือคนบ้าที่ไร้สติ เพราะไม่สามารถรับผิดชอบกับสิ่งที่ตนกระทำได้ ระบบสืบทอดตำแหน่งทางสายเลือดเป็นระบบที่ลดคุณค่าของผู้ถือตำแหน่งเอง เพราะเป็นการเสนอว่าใครก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือคนปัญญาอ่อนสามารถทำหน้าที่นี้ได้ ถ้าเปรียบกับช่างซ่อมเครื่องจักรแล้ว การเป็นช่างย่อมใช้ความสามารถและฝีมือ แต่การเป็นกษัตริย์แค่อาศัยร่างสัตว์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่ามนุษย์ (to be a King requires only the animal figure of man) ในที่สุดแนวความคิดแบบนี้ที่อาศัยความงมงายน่าจะดับสูญหายไปในยุคแห่งการใช้เหตุผล

เพน อธิบายอีกว่า ไม่มีสภาผู้แทนไหน กลุ่มคนใด หรือมนุษย์ในเมืองอะไร ที่มีสิทธิจะกำหนดหรือสั่งการในลักษณะการบังคับมัดสังคมชั่ว นิรันดร์ตลอดกาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิธีการปกครอง หรือเกี่ยวกับว่าใครจะเป็นผู้ปกครอง ดังนั้นคำประกาศใดๆ หรือมาตรากฎหมายรัฐธรรมนูญใดๆ ย่อมไม่มีน้ำหนักและความชอบธรรมในเมื่ออาศัยสิทธิอันไม่ชอบธรรมดังกล่าวในการออกคำประกาศหรือกฎหมาย ทุกยุค ทุกรุ่น ต้องมีเสรีภาพในการปฏิบัติในทุกเรื่อง มนุษย์รุ่นหนึ่งไม่มีสิทธิ์ในการครอบครองชีวิตของคนรุ่นต่อไป คนที่มีชีวิตอยู่คือผู้ที่เราควรจะเคารพรับฟัง ไม่ใช่ซากศพคนรุ่นก่อน

เพน เสนอว่า การปฏิวัติฝรั่งเศส ไม่ใช่เป็นเพียงการกบฏต่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แต่เป็นการปฏิวัติล้มหลักการปกครองเผด็จการของกษัตริย์ หลักการนี้ไม่ได้เริ่มต้นที่กษัตริย์คนนี้หรอก มันมีมานาน และพวกกาฝากทั้งหลายที่ติดพันกับระบบนี้มีหนาแน่นเกินไปที่จะกำจัดออกไปโดยวิธีอื่นนอกจากการปฏิวัติสังคมอย่างถ้วนหน้า การที่กษัตริย์ฝรั่งเศสปัจจุบันไม่ได้ชั่วร้ายอะไรหนักหนาไม่สำคัญ เพราะการมีระบบเผด็จการของกษัตริย์ก็เป็นโอกาสสำหรับรัชกาลต่อไปที่อาจโหดร้ายกว่า ที่จะเถลิงอำนาจ การพึ่งพาตัวบุคคลที่อาจมีคุณธรรมไม่ใช่หลักประกันการปกครองที่เป็นธรรม เพราะการละเว้นการใช้อำนาจอย่างป่าเถื่อนของบุคคลคนหนึ่งไม่ใช่สิ่งเดียวกับการยกเลิกระบบเผด็จการ

บ่อยครั้งมีคนบ่นว่าการปฏิวัติเป็นเรื่องป่าเถื่อนนองเลือด หรือมีการลงโทษฝ่ายพ่ายแพ้อย่างรุนแรงเป็นต้น นอกจากเรื่องนี้ไม่จริงเสมอไปแล้ว เราต้องมาพิจารณาว่าทำไมมนุษย์ถึงเลือกใช้ความโหดร้ายในการลงโทษ คำตอบสั้นๆ คือเขาเรียนรู้จากผู้ที่ปกครองเขา ดังนั้นถ้าการกบฏใดมีความโหดร้ายทารุณมันเพียงแต่เป็นการสะท้อนความโหดร้ายทารุณของระบบที่เคยปกครองเขา เราควรนำขวานมาฟันรากและโคนของปัญหา เราต้องสอนหลักมนุษยธรรมกับรัฐบาล ลองคิดดูสิรัฐบาลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษหรือฝรั่งเศสล้วนแต่ใช้ความโหดร้ายในการประหารชีวิตคน ดังนั้นถ้าบ้านเมืองเรามีม็อบโหดร้ายป่าเถื่อนมันก็เพราะบ้านเมืองมีระบบการปกครองที่ปกพร่องโหดร้ายป่าเถื่อน แต่อย่าลืมว่าม็อบดังกล่าวเพียงแต่เป็นมวลชนผู้ตาม แต่การนำกระบวนการปฏิวัติส่วนใหญ่เต็มไปด้วยบุคคลที่มีความคิดก้าวหน้าเพื่อเสรีภาพและมนุษยธรรม

เพน เล่าต่อว่า ในอดีตมนุษย์มีลักษณะความเป็นมนุษย์อย่างเดียว ไม่มียศศักดิ์อะไรสูงหรือต่ำกว่านั้น ทุกทฤษฎีที่ว่าด้วยกำเนิดของมนุษย์ ไม่ว่าจะมาจากโลกที่มีการบันทึกด้วยลายลักษณ์อักษร หรือด้วยวาจา หรือไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าหรือเป็นเรื่องของประวัติศาสตร์ ทุกทฤษฎีมีจุดร่วมสำคัญอันหนึ่งคือ มีการมองว่ามนุษย์เป็นหนึ่งอันเดียวไม่แตกต่างกัน คือมนุษย์เกิดมาเท่าเทียมกัน ด้วยสิทธิตามธรรมชาติที่เท่าเทียมกัน ไม่มีมนุษย์ที่ไหนที่จะยอมอาสาเข้าไปร่วมในสังคมเพื่อที่จะมีฐานะเลวลงหรือมีสิทธิเสรีภาพน้อยกว่าสิทธิธรรมชาติอันนี้ การเข้าร่วมสังคมกระทำไปเพื่อให้มีการปกป้องสิทธิเสรีภาพธรรมชาติต่างหาก และสิทธิเสรีภาพธรรมชาติย่อมเป็นรากฐานของสิทธิพลเมืองในสังคม

ระบบขุนนางที่สืบทอดอำนาจหรือตำแหน่งทางสายเลือด ไม่ว่าจะในประเทศใด ล้วนแต่มีรากฐานมาจากการใช้กำลังทางทหารทั้งนั้น คือเป็นระบบเผด็จการทางทหารชนิดหนึ่งซึ่งจำเป็นต้องมีระบบสืบทอดอำนาจที่ชัดเจนและตัดส่วนแบ่งทางอำนาจจากสาขาต่างๆ หรือแขนงน้อยๆ ของครอบครัวเพื่อระดมอำนาจและทรัพย์สินไว้ส่วนกลาง กฎเกณฑ์ของระบบนี้ขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับกฎธรรมชาติ และธรรมชาติกำลังเรียกร้องให้เรากำจัดสิ่งเพี้ยนๆ นี้ออกไปเสียที
ในประเทศที่อ้างว่ามีอารยะธรรม เมื่อเราเห็นคนแก่คนชราถูกทอดทิ้ง และเยาวชนถูกประหารชีวิต เราต้องสรุปว่าระบบการปกครองของประเทศนั้นมีปัญหา จากเปลือกภายนอกของสังคมเหล่านั้นที่ดูสงบเรียบร้อย เมื่อเราเจาะลึกลงไปจะเห็นความยากไร้ที่ไม่เปิดโอกาสใดๆ ให้คนยากจนนอกเหนือจากการตายในสภาพแบบนั้นหรือการถูกลงโทษ การปกครองที่มีคุณธรรมไม่ใช่การปกครองที่อาศัยโทษประหาร การปกครองที่มีคุณธรรมต้องบริการเยาวชนให้มีโอกาสเต็มที่ในการศึกษา และต้องดูแลคนแก่คนชราของสังคม ทำไมผู้ถูกลงโทษด้วยการประหารชีวิตส่วนใหญ่เป็นคนจน? แค่ข้อมูลชิ้นนี้ชิ้นเดียวก็แสดงถึงความยากไร้ในสภาพชีวิตของเขา แน่นอนเขาก็ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมและระบบกฎหมายที่ป่าเถื่อน ในจำนวนเงินล้านๆ ที่ถูกนำมาใช้โดยรัฐบาล มีมากมายเหลือเฟือที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ที่ต้นเหตุเพื่อประโยชน์ของสังคม และเวลาเราพูดถึงปัญหาความยากจนแบบนี้เรากำลังพูดด้วยความห่วงใยเมตตาในเพื่อนมนุษย์และในเรื่องสิทธิมนุษยชน

ในการบริการสังคม เพน เสนอว่าเราต้องพูดถึงระบบการเก็บภาษี เวลาพูดถึงการเก็บภาษีคนส่วนใหญ่ชอบเสนอว่าควรเก็บภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย และการนิยามว่าอะไรฟุ่มเฟือย อะไรไม่ฟุ่มเฟือย ไม่ค่อยมีเหตุผลหรือระบบเท่าไรนัก แต่สิ่งหนึ่งที่น่าจะฟุ่มเฟือยอย่างชัดเจนคือการถือครองที่ดินขนาดใหญ่ ดังนั้นควรมีการเก็บภาษีที่ดินจากผู้มีที่ดินมหาศาลเป็นประการแรก หลังจากนั้นก็ต้องมีการเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้า และการลดการถ่ายทอดสินทรัพย์ผ่านมรดก

แนวความคิดดังกล่าวและการต่อสู้ของนักประชาธิปไตยอังกฤษ กลายเป็นหลักประกันสำคัญเพื่อไม่ให้กษัตริย์อังกฤษในยุคนี้ ยุ่งหรือถูกลากลงมายุ่ง ในเรื่องการเมือง...

*ด้วยบรรณธิการหนังสือนี้มีความเห็นว่าบทความของอาจารย์ใจ อึ๊งภากรณ์ ที่ตีพิมพ์ในเว็บไซต์ Thai E-new มีเนื้อหาที่มีคุณค่าสอดคล้องกับงานเขียนของหนังสือนี้ จึงขออนุญาตนำมาตีพิมพ์เป็นภาคผนวก

No comments:

Post a Comment